Quantcast
Channel: ER goldbook
Viewing all 563 articles
Browse latest View live

HIV occupational Post-Exposure Prophylaxis (HIV oPEP)

$
0
0
HIV occupational Post-Exposure Prophylaxis (HIV oPEP)

ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV
  • สารคัดหลั่งที่ติดเชื้อได้ได้แก่ น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด น้ำไขสันหลัง น้ำในข้อ น้ำในช่องปอด น้ำในช่องท้อง น้ำในช่องหัวใจ น้ำคร่ำ และหนอง
    • น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา เหงื่อ เสมหะ อาเจียน อุจจาระ และปัสสาวะ ถ้าไม่เห็นการปนเปื้อนเลือดด้วยตาเปล่า ถือว่ามีจำนวนเชื้อไม่เพียงพอต่อการถ่ายทอดสู่ผู้อื่น
  • การสัมผัสเชื้อและความเสี่ยงได้แก่
    • การบาดเจ็บผ่านผิวหนัง (percutaneous injury) เช่น เข็มตำ มีดบาด(เสี่ยง 0.3%)
    • การสัมผัสเยื่อบุ (contact of mucous membrane) เช่น เลือดกระเซ็นเข้าตา ปาก (เสี่ยง 0.09%)
    • การสัมผัสผิวหนังที่ไม่ปกติ (contact of non-intact skin) ได้แก่ ผิวหนังที่มีบาดแผลหรือผิวหนังที่มีผื่นแพ้  ผิวหนังอักเสบ (dermatitis)(เสี่ยง < 0.09%)
    • การสัมผัสผิวหนังปกติไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

Investigation:
  • Source: Anti-HIV, HBsAg, Anti-HCV
  • Exposure: Anti-HIV, HBsAg, Anti-HBs, Anti-HCV, CBC, Cr, ALT

**2 ตรวจ anti-HIV ในรายที่anti-HCV positive ที่ 6 เดือน เพราะพบ delayed HIV seroconversion ได้; 3-5 ตรวจเมื่อมีอาการสงสัย เช่น anti-HIV ถ้ามีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่น หรือตรวจ CBC, Cr, SGPT ถ้ามี N/V ผื่น หรือตรวจ HBsAG ถ้ามีอาการของ acute hepatitis; 6 ตรวจHBsAg และ anti-HCV ถ้าแหล่งโรคมี hepatitis B หรือ C; 7 ถ้าทราบว่าเป็น positive มาก่อนไม่ต้องตรวจซ้ำ



แนวทางการจัดการ
  • ถ้ามีข้อบ่งชี้ในการให้ HIV oPEP ให้เริ่มยาเร็วที่สุด (< 1-2 ชั่วโมง)ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัส และต้องกินยาจนครบ 4 สัปดาห์
  • ติดต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญภายใน 3 วัน

สูตรยา
  • สูตรแนะนำ TDF (Tenofovir) 300 mg + 3TC (Lamivudine) 300 mg วันละครั้ง หรือ TDF 300 mg/FTC 200 mg (Tenofovir/Emtricitabine) วันละครั้ง ร่วมกับ
    • RPV (Rilpivirine) 25 mg วันละครั้ง [กินพร้อมอาหาร]
    • ATV/r (Atazanavir/ritonavir) 300/100 mgวันละครั้ง
    • LPV/r (Lopinavir/ritonavir) 400/100 mgทุก 12 ชม. หรือ 800/200 mgวันละครั้ง [ห้ามใช้ร่วมกับ ergotamine]
    • DRV/r (Darunavir/ritonavir) 800/100 mgวันละครั้ง
  • สูตรทางเลือก TDF 300 mg + 3TC 300 mg วันละครั้ง หรือ TDF 300 mg/FTC 200 mg วันละครั้ง ร่วมกับ
    • RAL (Raltegravir) 400 mg ทุก 12 ชม.
    • DTG (Dolutegravir) 50 mg วันละครั้ง
    • EFV (Efavirenz) 600 mg วันละครั้ง [ห้ามใช้ร่วมกับ ergotamine]
  • ถ้า CrCl < 60 mL/min ให้ AZT 300 mg ทุก 12 ชั่วโมง แทน TDF ในสูตรแนะนำหรือทางเลือก
  • หาก source เป็น HIV และมี detectable viral load (หรือไม่มีผล viral load)
    • ถ้า source ได้ NNRTI-based regimen อยู่ พิจารณาให้ TDF/FTC หรือ TDF + 3TC + boosted PI
    • ถ้า source ได้ PI-based regimen อยู่ และมีประวัติ NNRTI resistanceพิจารณาให้ TDF/FTC หรือ TDF + 3TC + RAL หรือ DRV/r หรือ Dolutegravir
    • ถ้าเป็น undetectable VL หรือกรณีไม่มีข้อมูลแหล่งโรค ให้พิจารณาสูตรยาแนะนำข้างต้น



HIV non-occupational Post-Exposure Prophylaxis (HIV nPEP)

$
0
0
HIV non-occupational Post-Exposure Prophylaxis (HIV nPEP)

ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ใช้เข็มร่วมกัน (Needle-sharing injection-drug use) 0.63%
  • ถูกเข็มตำนอกรพ. (Percutaneous needle stick) 0.23%
  • ทางทวารหนักเป็นฝ่ายรับ (Receptive anal intercourse) 1.38%
  • ทางทวารหนักเป็นฝ่ายรุก (Insertive anal intercourse) 0.11%
  • ทางช่องคลอดเป็นฝ่ายรับ (Receptive penile-vaginal intercourse) 0.08%
  • ทางช่องคลอดเป็นฝ่ายรุก (Insertive penile-vaginal intercourse) 0.04%
  • ทางปากเป็นฝ่ายรับ (Receptive oral intercourse) ไม่พบข้อมูลการติดเชื้อ
  • ทางปากเป็นฝ่ายรุก (Insertive oral intercourse) ไม่พบข้อมูลการติดเชื้อ
  • คนกัด ไม่มีข้อมูล
  • การใช้อุปกรณ์ร่วมเพศ ไม่มีข้อมูล
**กรณีเข็มตำ ถ้าเลือดที่ติดอยู่เป็นเลือดที่แห้งหรือเข็มที่ตำเป็นเข็มที่ทิ้งแล้ว มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำมาก


ข้อบ่งชี้ในการให้ HIV nPEP
  • การสัมผัสมีความเสี่ยงสูง ได้แก่
    • มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและทางช่องคลอด ทั้งเป็นฝ่ายรับและฝ่ายรุกโดยไม่ใช้ถุงยางหรือถุงยางแตก รวมกรณีถูกข่มขืน และการมีเพศสัมพันธ์กับหญิง/ชายบริการทางเพศ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
    • การได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ ถูกเข็มกลวงตำนอกสถานพยาบาล หรือประสบอุบัติเหตุที่มีการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งที่มีโอกาสถ่ายทอดเชื้อ HIV สูง
  • การสัมผัสมีความเสี่ยงต่ำลงมา เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปากกับองคชาต หรือ ปากกับช่องคลอด หรือ ปากกับทวารหนัก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรับหรือรุก ร่วมกับมีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติด HIV ได้แก่
    • Source เป็น HIV positive + VL > 1,500 copies/mL
    • เยื่อบุช่องปากมีรอยโรค เป็นแผล หรือมีเหงือกอักเสบ
    • สัมผัสเลือดซึ่งมองเห็นได้
    • มีโรคที่ทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศหรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
กรณีที่ไม่ต้องให้ HIV nPEPได้แก่ การจูบแบบปิดปาก สัมผัสปากต่อปากโดยไม่มีการบาดเจ็บต่อเยื่อบุ กัดหรือถูกคนกัดโดยไม่มีเลือดออก เข็มตันตำหรือของมีคมบาดโดยไม่ได้สัมผัสเลือดใหม่ๆ ช่วยผู้อื่นสำเร็จความใคร่โดยไม่มีการแตกของผิวหนัง ไม่มีการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่ง
**การใช้ผลการติดเชื้อ HIV ของ source มาตัดสินใจว่าจะให้ผู้สัมผัสรับ nPEP หรือไม่ ให้พิจารณาเป็นรายๆไป


Investigation
  • Exposure: Anti-HIV, CBC, Cr, ALT, HBsAg, Anti-HBs, Anti-HCV, UPT
  • Source: Anti-HIV; คัดกรองหา STIs ได้แก่ VDRL หรือ RPR, GC, Chlamydia

**2 ตรวจ anti-HIV ในรายที่anti-HCV positive ที่ 6 เดือน เพราะพบ delayed HIV seroconversion ได้; 3-5 ตรวจเมื่อมีอาการสงสัย เช่น anti-HIV ถ้ามีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่น หรือตรวจ CBC, Cr, SGPT ถ้ามี N/V ผื่น หรือตรวจ HBsAG ถ้ามีอาการของ acute hepatitis; 6 ตรวจHBsAg และ anti-HCV ถ้าแหล่งโรคมี hepatitis B หรือ C; 7 ถ้าทราบว่าเป็น positive มาก่อนไม่ต้องตรวจซ้ำ; 8 ตรวจหา STIs อื่นๆด้วยตามอาการ; 9 กรณีเป็น syphilis และรับการรักษา; 10 กรณีครั้งแรกเป็น negative



แนวทางการจัดการ
  • ถ้ามีข้อบ่งชี้ในการให้ HIV nPEP ให้เริ่มยาเร็วที่สุด (< 1-2 ชั่วโมง)ไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัส และต้องกินยาจนครบ 4 สัปดาห์ ถ้ามีความเสี่ยงซ้ำในสัปดาห์สุดท้ายที่ให้ยา nPEP แนะนำให้ยาเพิ่มอีก 1 สัปดาห์
  • ติดต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญภายใน 3 วัน

สูตรยา
  • สูตรแนะนำ TDF (Tenofovir) 300 mg + 3TC (Lamivudine) 300 mg วันละครั้ง หรือ TDF 300 mg/FTC 200 mg (Tenofovir/Emtricitabine) วันละครั้ง ร่วมกับ
    • RPV (Rilpivirine) 25 mg วันละครั้ง [กินพร้อมอาหาร]
    • ATV/r (Atazanavir/ritonavir) 300/100 mgวันละครั้ง
    • LPV/r (Lopinavir/ritonavir) 400/100 mgทุก 12 ชม. หรือ 800/200 mgวันละครั้ง [ห้ามใช้ร่วมกับ ergotamine]
    • DRV/r (Darunavir/ritonavir) 800/100 mgวันละครั้ง
  • สูตรทางเลือก TDF 300 mg + 3TC 300 mg วันละครั้ง หรือ TDF 300 mg/FTC 200 mg วันละครั้ง ร่วมกับ
    • RAL (Raltegravir) 400 mg ทุก 12 ชม.
    • DTG (Dolutegravir) 50 mg วันละครั้ง
    • EFV (Efavirenz) 600 mg วันละครั้ง [ห้ามใช้ร่วมกับ ergotamine]
  • ถ้า CrCl < 60 mL/min ให้ AZT 300 mg ทุก 12 ชั่วโมง แทน TDF ในสูตรแนะนำหรือทางเลือก


การรักษาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
  • Post-exposure hepatitis B prophylaxis ควรให้ภายใน 12 ชั่วโมง ถ้าไม่เคยได้ HBV vaccine มาก่อนให้หรือเคยได้รับ vaccine แต่ตรวจไม่พบ Anti-HBs ให้ HBV vaccination (0,1,6)
    • ถ้าทราบว่า source เป็น HBV แนะนำให้ HBIG x 1 dose
    • ถ้าเคยฉีด vaccine มาก่อน และเป็น non-responder ให้ HBIG แทน 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือน
  • Emergency contraception โดยเร็วที่สุด ภายใน 5 วัน
  • Tetanus immunization ตามเกณฑ์
  • Empirical ATB สำหรับ STDs (Ceftriaxone 500 mg IM หรือ cefipime 400 mg IM single dose + Metronidazole 2 g PO single dose + Azithromycin 1 g PO single dose หรือDoxycycline 100 mg PO bid for 7 d)


HIV และ HIV related disease

$
0
0
HIV และ HIV related disease

Natural history
  • Acute HIV infectionหรือ acute retroviral syndrome เกิดขึ้นหลังได้รับเชื้อ 2-4 สัปดาห์ จะมีอาการflulike หรือ mononucleosis-like syndrome (fever, fatigue, pharyngitis, rash, headache, lymphadenopathy)นาน < 14 วัน
  • Seroconversionเกิดขึ้น 3-8 สัปดาห์หลังติดเชื้อ และมี incubation period ในผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รักษาเฉลี่ย 8.23 ปี และในเด็ก < 5 ปีเฉลี่ย 1.97 ปี
  • AIDS คือ การที่มี CD4+ T-cell count < 200 cells/mm3หรือมี AIDS-defining illness เช่นesophageal candidiasis, cryptococcosis, cryptosporidiosis, CMV retinitis, HSV, Kaposi sarcoma, brain lymphoma, MAC infection,  PCP, PML, brain toxoplasmosis, HIV encephalopathy, HIV wasting syndrome, disseminated histoplasmosis, Isosporiasis, disseminated M. TB,  recurrent Salmonella septicemia,  Pulmonary TB, recurrent bacterial pneumonia, Invasive cervical cancer


Investigation
  • การตรวจวินิจฉัย HIV สามารถทำได้ภายหลังสัมผัสเชื้อ 1 เดือน จะตรวจด้วย rapid test 3 ชุด และรายงานผลเป็น anti-HIV negative (ชุดตรวจแรกที่มีความไวที่สุดให้ผลลบ), inconclusive (ผลขัดแย้งกัน), หรือ anti-HIV positive (ให้ผลบวกทั้ง 3 ชุด)
    • ถ้าผลเป็น สรุปไม่ได้” (inconclusive) ให้ตรวจซ้ำที่ 2 สัปดาห์ และ/หรือ 1 เดือน ถ้ายัง สรุปไม่ได้แสดงว่าเป็นลบ
    • กรณีที่ผล บวกแนะนำให้เจาะเลือดตรวจซ้ำ (พร้อมกับตรวจ CD4) เพื่อป้องกันสาเหตุจากการตรวจสลับคน (human error)
    • ถ้าผล ลบอาจต้องตรวจซ้ำในบางกลุ่ม โดยเฉพาะถ้ายังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่และอาจอยู่ใน window period
  • การวินิจฉัย early infection (< 6 เดือน)ใช้ nucleic acid testing (NAT) ร่วมกับตรวจ anti-HIV จะวินิจฉัยในช่วง window period ของ anti-HIV (เครื่องรุ่น 4 สามารถตรวจ window period ไวใน 3 สัปดาห์); หรือ ตรวจ viral load > 100,000 copies/mL หรือตรวจพบ p24Ag โดยที่ anti-HIV negative หรือ inconclusive
  • การตรวจคัดกรองครั้งแรก: CD4+ count, HIV viral load, HBsAg, anti-HCV, VDRL, ALT, Cr, TC, TG, FBS, UA, CXR, serum cryptococcal Ag
**Total lymphocyte count < 1200 cells/mm3มีความสัมพันธ์กับ CD4+ T-cell count < 200 cells/mm3(sensitivity 62%)

ตรวจคัดกรองโรคร่วม
  • Hepatitis B/C: Anti-HBc, anti-HBs, HBsAg, anti-HCV (ในคนที่ CD4 > 100)
  • STIs: ดูเรื่อง STIs ตรวจ VDRL หรือ RPR และพิจารณาทำ LP ตรวจ CSF PCR ถ้าสงสัย neurosyphilis, ocular syphilis, tertiary syphilis, หรือ treatment failure
  • Tuberculosis: CXRและถ้ามีอาการผิดปกติ (ไข้ ไอ น้ำหนักลด เหงื่อออกกลางคืน)ให้ส่ง sputum AFB
  • CMV retinitis: ทำ indirect ophthalmoscope ถ้า CD4 < 100
  • Cryptococcosis: ตรวจ serum cryptococcal Ag ถ้า CD4 < 100 และทำ LP ถ้า cryptococcus Ag positive
  • CA cervix: ตรวจ PAP smear ปีละครั้ง; CA rectum ตรวจใน MSM ทำ digital anorectal exam +/- anal pap
  • ตรวจคัดกรองภาวะซึมเศร้า โภชนาการ และความเสี่ยงต่อหัวใจและหลอดเลือด(screening DM, DLP ทุก 6 เดือน)

การให้ยาต้าน HIV และการติดตามผล
  • ให้ยาต้าน HIV ในผู้ติดเชื้อทุกราย โดยสูตรยาแรกที่แนะนำในประเทศไทย คือ NRTIs + NNRTIs ได้แก่ TDF/FTC หรือ TDF + 3TC ร่วมกับ EFV
  • โปรดศึกษาจากใน guideline ตาม reference ด้านล่าง

ผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยยาต้าน HIV
  • ระดับรุนแรงถึงชีวิต เช่น SJS/TEN (NVP, DLV, EFV), severe hepatitis/hepatic necrosis (NVP), lactic acidosis with hepatic steatosis +/- pancreatitis (NRTI, d4T, ddI, AZT), lactic acidosis with rapidly progressive ascending neuromuscular weakness (ddI), hypersensitivity reaction (ABC)
  • ระดับรุนแรง เช่น skin rash (NVP, EFV, ABC, ATV, TDF, LPV, AZT, 3TC), bone marrow suppression (AZT), hepatitis (NNRTIs, PIs, NRTIs), nephrolithiasis (IDV, ATV, EFV), nephrotoxicity (TDF, ATV), pancreatitis (ddI, ddI + d4T/ribavirinm hydroxyurea), bleeding in hemophilis (PIs)
  • โปรดศึกษารายละเอียดใน guideline ตาม reference ด้านล่าง


โรคติดเชื้อฉวยโอกาส

Tuberculosis(extra-pulmonary หรือ disseminated TB CD4 < 200)
  • ดูเรื่อง tuberculosis
  • 2HRZE/4-7IR: isoniazid 5-8 mg/kg (300 mg) PO OD + rifampin 10 mg/kg (450-600 mg) PO OD + pyrazinamide 20-25 mg/kg (1000-2000) PO OD + ethambutol 15-20 mg/kg (800-1200 mg) PO OD + pyridoxine 20-30 mg/kg (1000-2000) PO OD
  • Immune reconstitution inflammatory syndrome (IRIS)จะมีไข้ขึ้น และตำแหน่งที่เคยเป็นวัณโรคอาการกลับเลวลง มักเกิดหลังให้ยาต้าน HIV ใน 3 เดือนแรก แต่อาการจะดีขึ้นใน 2-4 สัปดาห์ โดยทั่วไปจึงให้เริ่มยาต้าน HIV หลังยาวัณโรคภายใน 2 สัปดาห์ (ถ้าเป็น TB meningitis รอ 2 สัปดาห์)ต้องแยกจากสาเหตุอื่นๆ รักษาให้กินยาต่อ ให้ prednisolone 1 mg/kg/d และค่อยๆลดขนาดยาทุก 2 สัปดาห์จนหยุดใน 4-8 สัปดาห์


Pneumocystis pneumonia (PCP) (CD4 < 200)
  • ยาหลัก co-trimoxazole ให้ TMP 15-20 mg/kg/d หรือ SMX 75-100 mg/kg/d PO หรือถ้าอาการรุนแรงให้ IV drip > 1 h  แบ่งให้วันละ 3-4 ครั้ง นาน 21 วัน หรือ
  • ยาทางเลือก clindamycin 600 mg IV q 6 h หรือ 900 mg IV q 8 h  หรือ 300 mg PO q 6 h หรือ  450 mg PO q 8 h ร่วมกับ primaquine 30 mg PO OD 21 วัน หรือ pentamidine 3-4 mg/kg IV > 1 h OD
  • ถ้า PaO2< 70 mmHg หรือ A-a gradient > 35 mmHg ควรให้ prednisolone โดยเร็ว (ภายใน 72 ชั่วโมง)ขนาด  40 mg PO BID x 5 d then 40 mg OD x 5 d then 20 mg OD x 11 d


Cryptococcosis (CD4 < 100)
  • Dx: ตรวจ cryptococcal Ag
  • Induction phase2 สัปดาห์ ยาหลัก amphotericin B 0.7-1.0 mg/kg/d IV + fluconazole 800 mg/d PO หรือ IV ในรายที่เป็น meningitis, severe หรือ disseminated infection; ยาทางเลือก fluconazole 1200 mg/d PO/IV ในผู้ที่ไม่มี meningitis หรือให้ amphotericin ไม่ได้
  • Consolidation phase 8-10 สัปดาห์ ยาหลัก fluconazole 400-800 mg/d PO; ยาทางเลือก itraconazole 200 mg PO BID
  • ในรายที่ cryptococcal Ag positive แต่ตรวจไม่พบตำแหน่งติดเชื้อ และ CSF ไม่พบ cryptococcal antigenemia ให้เริ่มการรักษาที่ consolidation phase ได้เลย


Candidiasis(CD4 < 100)
  • Oropharyngeal candidiasis: ยาหลัก clotrimazole oral troches 10 mg อมวันละ 4-5 ครั้งx 7-14 วัน หรือ fluconazole 100 mg PO OD x 7-14 วัน; ยาทางเลือก nystatin 500,000 unit x 5 ครั้ง/วัน x 7-14 วัน หรือ itraconazole 100 mg PO OD x 7-14 วัน หรือ amphotericin B 0.3-0.5 mg /kg/d IV x 7-14 วัน
  • Esophageal candidiasis: ยาหลัก fluconazole 200 mg PO OD x 14-21 วัน; ยาทางเลือก itraconazole 200 mg PO BID x 14-21 วัน หรือ amphotericin B 0.3-0.5 mg /kg/d IV x 14-21 วัน
  • Cervicovaginal candidiasis: ยาหลัก clotrimazole vaginal cream 5 g/d หรือ clotrimazole vaginal suppository 100 mg เหน็บ OD x 3-7 วัน หรือจนไม่มีอาการ หรือ fluconazole 200 mg PO single dose; ยาทางเลือก miconazole cream 5 g/d หรือ miconazole vaginal suppository 100 mg เหน็บ OD x 7 วัน หรือ itraconazole 200 mg PO OD x 3 วัน


Toxoplasmic encephalitis(CD4 < 200)
  • ยาหลัก co-trimoxazole ให้ TMP 5-10 mg/kg/d หรือ SMX 25-50 mg/kg/d IV/PO แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง หรือ (pyrimethamine 200 mg PO load then 50 mg/d (ถ้า > 60 kg ให้ 75 mg/d) + sulfadiazine 1000 mg (ถ้า > 60 kg ให้ 1,500 mg) QID + folinic acid 10-25 mg/d PO) x > 6 สัปดาห์
  • ยาทางเลือก pyrimethamine + clindamycin 600 mg q 6 h หรือ pyrimethamine + azithromycin 1,000-1,250 mg/d


Penicilliosis(CD4 < 100) และ histoplasmosis(CD4 < 150)
  • Dx: biopsy ย้อม weight stain, C/S
  • Induction phaseยาหลักamphotericin B 0.6-0.7 mg/kg/d IV x 7-14 วัน; ยาทางเลือกitrazonazole 200 mg PO TID x 3 วัน then 200 mg PO BID x 14 วัน
  • Consolidation phaseยาหลัก itraconazole 200 mg PO BID x 10-12 สัปดาห์; ยาทางเลือก fluconazole 800 mg PO OD


Cytomegalovirus (CMV) infection(CMV retinitis CD4 < 50)
  • ยาหลัก ganciclovir 5 mg/kg IV q 12 h x 2 สัปดาห์ (GI หรือ neuro ให้ 3-6 สัปดาห์)หรือ valganciclovir 900 mg PO BID x 2-3 สัปดาห์
  • ยาทางเลือก ganciclovir intravitreous 2,000 mcg ต่อสัปดาห์ หรือ ganciclovir implant 4.5 mg
  • การให้ยาต้าน HIV จะทำให้ CD4 เพิ่มขึ้นทำให้พยาธิสภาพดีขึ้นแม้จะไม่ได้รักษาโดยตรง


Mycobacterium avium complex (MAC) infection(CD4 < 100)
  • Dx: H/C
  • ยาหลัก clarithromycin 500 mg PO BID + ethambutol 15 mg/kg OD
  • ยาทางเลือก azithromycin 500 mg PO OD + ethambutol 15 mg/kg OD


Adult Check Up

$
0
0
การตรวจสุขภาพในผู้ใหญ่

คัดกรองโรคมะเร็ง
  • Lung cancer(USPSTF 2013)ผู้ใหญ่อายุ 55-80 ปี ที่สูบบุหรี่ 30 pack-year และหยุดสูบมาไม่เกิน 15 ปี ให้ทำ low-dose CT (LDCT) ปีละ 1 ครั้ง
  • Hepatocellular carcinoma(NCI 2016)ผู้ป่วยโรคตับแข็ง;ผู้ชายอายุ > 40 ปี ผู้หญิงอายุ > 50 ปีและผู้มีประวัติมะเร็งตับในครอบครัวที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรังจาก hepatitis Bหรือ ติดเชื้อ hepatitis B ตั้งแต่เด็ก ผู้ป่วยโรค hepatitis C ที่มี fibrosis stage 3-4 ให้ตรวจ US +/- AFP ทุก 6เดือน
  • Cholangiocarcinoma(NCI 2016) ผู้ใหญ่อายุ > 40ปีที่อาศัยในถิ่นที่มีการติดพยาธิใบไม้ในตับ หรือถิ่นที่มีอัตราการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีสูง เช่น ภาคอีสาน และบางส่วนของภาคเหนือ และ ผู้ที่มีประวัติการกินปลาน้ำจืดดิบ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปดิบจากปลาน้ำจืด ให้ตรวจคัดกรอง stool exam for parasite หรือทำแบบสอบถามหาโอกาสติดพยาธิใบไม้ในตับ (แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดี 2559) ถ้าอาจติดพยาธิให้ส่งทำ US และทำทุก 6เดือน (ถ้ายังอาจติดพยาธิหรือ US ผิดปกติ)
  • Breast cancer
    • USPSTF 2016: ผู้หญิงอายุ 50-74 ปี หรือตั้งแต่อายุ40ปี ถ้ามี first-degree relative เป็น breast cancer ให้ทำ mammography ทุก 2 ปี
    • ACOG 2017: ผู้หญิงอายุ 40-75 ปี ให้ทำ mammography ทุก 1-2 ปี
    • ผู้หญิงที่เสี่ยงต่อ breast cancer (5-yr risk > 3%) จาก breast cancer risk toolและไม่เสี่ยงต่อ adverse effect จากยา (FHx VTE, ตรวจ GYN ถ้ามี uterus)ควรเสนอการใช้ยาที่จะช่วยลดความเสี่ยง เช่น tamoxifen, raloxifene
  • BRCA-related cancer(USPSTF 2013) ผู้หญิงอายุ > 18 ปีที่มีคนในครอบครัวเป็น breast, ovarian, tubal, หรือ peritoneal cancer ให้ประเมินความเสี่ยงด้วย screening tools (เช่น FHS-7)เพื่อเสนอการตรวจ BRCA mutation testing ในบางราย
  • Cervical cancer (USPSTF 2012) ผู้หญิงอายุ 21-65 ปี ให้ตรวจ Pap smear ทุก 3 ปี หรืออายุ 30-65 ปี ให้ตรวจ Pap + HPV testing ทุก 5 ปี
  • Colorectal cancer(USPSTF 2016) ผู้ใหญ่อายุ 50-75 ปี สามารถเลือกคัดกรองด้วย gFOBT (stool occult blood) หรือ FIT (fecal immunochemical test) ทุก 1 ปี หรือ FIT-DNA ทุก 1-3 ปี (ขึ้นกับผู้ผลิต); colonoscopyหรือ (flexible sigmoidoscopy + FIT) ทุก 10 ปี; flexible sigmoidoscopy หรือCT colonoscopy ทุก 5 ปี
  • Prostate cancer (AUA 2018) ผู้ชายอายุ 55-69 ปี พิจารณาตรวจ PSA ในรายที่แสดงความต้องการตรวจ หลังจากที่คุยถึงประโยชน์และโทษในการตรวจ (เช่น false-positive แล้วนำไปสู่การ biopsy ที่อาจมีผลแทรกซ้อนทำให้เกิด incontinence,หรือerectile dysfunction)

คัดกรองความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • Coronary heart disease(HiTAP 2013)ผู้ใหญ่อายุ >35 ปีประเมิน Rama-EGRAT scoreหรือ 10-yr Thai CV riskทุก 5 ปี;(USPSTF 2016) แนะนำให้aspirin 75 mg เพื่อป้องกัน CVD และ CRC ในผู้ใหญ่อายุ 50-59 ปี ที่มี risk > 10% มี life expectancy > 10 ปี และไม่เพิ่ม bleeding risk
  • Abdominal aortic aneurysm(USPSTF 2014) ทำ US เพื่อคัดกรอง AAA 1 ครั้งในผู้ชายอายุ 65-75 ปี ที่มีประวัติเคยสูบบุหรี่
  • Diabetes/prediabetes(USPSTF 2015) ผู้ใหญ่อายุ 40-70 ปีที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ให้ตรวจ glucose ทุก 3 ปี; (Thai) ผู้ใหญ่อายุ > 30 ปีอาจประเมินด้วย Thai diabetes risk scoreถ้า score > 6 ปี = 12-yr risk of DM > 10% ให้ตรวจrandom blood glucose และตรวจ OGTT ถ้า random glucose > 140หลังจากนั้นตรวจทุก 5 ปีถ้าผลปกติ
  • Hypertension(USPSTF 2015) ผู้ใหญ่อายุ > 18 ปีให้วัดBP ทุก3-5 ปี และเมื่ออายุ > 40 ปีหรือมีความเสี่ยงต่อ HT (high-normal BP [> 130/80], overweight) ให้วัดBP ทุก 1 ปี
  • Dyslipedemia (AACE 2017) แนะนำให้ตรวจ fasting lipid profile (TC, LDL-C, TG, non-HDL-C); (USPSTF 2008) แนะนำให้ตรวจ non-fasting TC, HDL-C; AACE แนะนำให้ตรวจดังนี้
    • คนที่มีประวัติ premature ASCVD (MI หรือ sudden death ในmale first-degree relative < 55 ปี หรือ female first-degree relative < 65 ปี),หรือDM ให้ตรวจทุก 1 ปี
    • ผู้ชายอายุ 20-45 ปีและผู้หญิงอายุ 20-55 ปี ตรวจทุก 5 ปี
    • ผู้ชายอายุ 45-65 ปีและผู้หญิงอายุ 55-65 ปี ตรวจทุก 1-2 ปี
    • คนอายุ > 65 ปี ให้ตรวจทุก 1 ปี
    • เด็ก/วัยรุ่นตั้งแต่อายุ 16 ปี ถ้ามี ASCVD risk, over weight, insulin resistance syndrome, FHx of premature ASCVDให้ตรวจทุก 5 ปี
    • เด็กที่มีประวัติครอบครัว (premature ASCVD, elevated cholesterol) ให้ตรวจที่อายุ 3 ปี, 9-11 ปี, และที่ 18 ปี
  • Statin use(USPSTF 2016)ผู้ใหญ่อายุ 40-75 ปี without CVD + > 1 CVD risk factors (DM, HT, DLP, smoking) + 10-yr CVD risk > 10 % ให้ low-moderate dose statin
  • Healthful diet และ physical activity (USPSTF 2014) ผู้ใหญ่อายุ > 18 ปี ที่มีน้ำหนักเกิน และมี CVD risk (HT, dyslipidemia, IFG, metabolic syndrome) ให้คำปรึกษาและนัดติดตามต่อเนื่อง (5-16 ครั้ง/9-12 เดือน)

คัดกรองโรคติดเชื้อ
  • Hepatitis B(HiTAP 2013) ผู้ใหญ่อายุ > 30 ปี ตรวจ HBsAg และanti-HBsครั้งเดียว พร้อมให้การรักษาหรือวัคซีน
  • Hepatitis C (HiTAP 2013) ผู้ติดเชื้อ HIV ตรวจ anti-HCV และ HCV RNA ครั้งเดียว
  • HIV(USPSTF 2013) วัยรุ่นและผู้ใหญ่อายุ 15-65 ปีหรือมีความเสี่ยง ให้ตรวจแบบสมัครใจ ความถี่ในการตรวจขึ้นกับความเสี่ยง อาจตรวจครั้งเดียวถ้าไม่มีความเสี่ยง หรือตรวจซ้ำ >1 ครั้ง/ปี ทุก 5 ปีขึ้นกับความเสี่ยง; (Thai HiTAP) แนะนำตรวจอายุ 13-50 ปี
  • Tuberculosis (Thai 2018) กลุ่มเสี่ยง (เช่น HIV, DM, immunocompromised, COPD, silicosis, CKD, stomach/bowel surgery, malnutrition, alcoholism, contact TB/Hx TB, old age, prisoners, HCW เป็นต้น)ให้ทำ CXR อาจทำครั้งเดียวถ้าไม่มีความเสี่ยงต่อเนื่องในอนาคต
  • Chlamydia, Gonorrhea (USPSTF 2014) ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์อายุ < 24 ปี หรือมากกว่าถ้ามีความเสี่ยง (เช่น new sex partner, > 1 sex partner, sex partner with STI) ให้ screening หา chlamydia และ gonorrhea ความถี่ในการตรวจขึ้นกับ sexual history
  • Sexually transmitted infection (USPSTF 2014) วัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อ STIs (มีประวัติ STIs, multiple sex partners, ไม่ใช้ condom ทุกครั้ง)ให้คำปรึกษาทางพฤติกรรม
  • Syphilis infection(USPSTF 2016)คัดกรองในรายที่มีความเสี่ยง เช่น MSM, อาศัยร่วมกับผู้ป่วย HIV

คัดกรองภาวะเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพอื่นๆ
  • Malnutrition/over nutrition (HiTAP 2013)วัยรุ่นและผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 15 ปี ประเมิน BMI ทุกครั้งที่มารพ. และผู้ใหญ่อายุ > 60 ปี ให้วัด BMI ซักประวัติการกินอาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ หรือน้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • Alcohol misuse(USPSTF 2013) คัดกรองการดื่มสุรามากเกินไปในคนอายุ > 18 ปี และให้คำปรึกษาวิธีแก้ปัญหา; (Thai HiTAP) แนะนำอายุ 15-60 ปี ประเมินด้วยแบบประเมินปัญหาการดื่มสุราปีละ 1 ครั้ง
  • Tobacco smoking cessation(USPSTF 2015) ผู้ใหญ่ทุกคนให้ถามประวัติการสูบบุหรี่ แนะนำให้เลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด ประเมินความรุนแรง ความประสงค์ ช่วยเหลือ บำบัดรักษา (แนวทางปฏิบัติเพื่อรักษาผู้ติดบุหรี่ 2552)
  • Depression(USPSTF 2016) ผู้ใหญ่ทั่วไปให้คัดกรองหาภาวะซึมเศร้า
  • Falling prevention(USPSTF 2012) ผู้ใหญ่อายุ >65 ปี หรือในรายที่มีความเสี่ยงล้ม (ประวัติล้ม มีปัญหาในการเคลื่อนไหว Get-Up-and-Go test ไม่ดี[ลุกจากเก้าอี้ที่มีเท้าแขน เดิน 3 เมตรแล้วกลับมานั่งเก้าอี้ได้ภายใน 10 วินาที]) ให้ exercise/physical therapy และกิน Vitamin D เสริม
  • Folic acid(USPSTF 2017)เพื่อป้องกัน neural tube defect ในผู้หญิงที่วางแผนหรืออาจตั้งครรภ์
  • Intimate partner violence (USPSTF 2012) ผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ ให้ถามถึงปัญหาความรุนแรงในนครอบครัว ดูเรื่อง intimate partner violence
  • Osteoporosis(USPSTF 2011) ผู้หญิงอายุ >65 ปีหรือมีความเสี่ยง >ผู้หญิงผิวขาวอายุ 65 ปี (FRAX tool) ให้ตรวจ BMD ห่างกัน >2 ปี
  • Traffic accident(HiTAP 2013) คนขับรถอายุ > 60 ปี ตรวจ visual acuity



Ref: U.S Preventive Services Task Force, Development of a Health Screening Package Under the Universal Health Coverage: The Role of Health Technology Assessment 2016

Insomnia

$
0
0
Chronic insomnia

การวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับ(ICSD-2)
  1. มีอาการนอนหลับยาก นอนได้ไม่นาน ตื่นเร็วเกินไป หรือ นอนแล้วไม่รู้สึกสดชื่น แม้ว่าจะมีโอกาสได้นอนอย่างเพียงพอ
  2. ทำให้เกิดอาการผิดปกติในช่วงกลางวัน เช่น อ่อนเพลีย สมาธิหรือความจำไม่ดี อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ขาดแรงจูงใจ ความกระตือรือร้น ความริเริ่มสร้างสรรค์ ทำงานผิดพลาดบ่อย เรียนหนังสือแย่ลง ง่วงนอนตอนกลางวัน ปวดศีรษะ หรือมีอาการทางเดินอาหารเวลาอดนอน และวิตกกังวลเกี่ยวกับการนอน
ประเภทของ insomnia
  • Adjustment (Acute) Insomniaคือ นอนไม่หลับจากปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียด อาจเป็นสาเหตุทางจิตใจ ร่างกาย หรือ สิ่งแวดล้อม จะเป็นช่วงสั้นๆและหายหลังจากไม่มีปัจจัยกระตุ้นแล้ว
  • Psychophysiological Insomniaเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของการนอนไม่หลับที่เป็น > 1 เดือน มักเกิดจากปัจจัยกระตุ้นอื่นมาก่อน ผู้ป่วยจะกังวลอย่างมากต่อปัญหาการนอน พยายามที่จะนอนให้หลับ ทำให้ตอนนอนความคิดยิ่งตื่นตัว เกิดเป็นพฤติกรรมเชื่อมโยงเวลานอนกับการนอนไม่หลับ ทำให้ยิ่งนอนหลับยากมากขึ้นไปอีก
  • Paradoxical Insomniaผู้ป่วยจะมาด้วยอาการนอนไม่หลับทั้งคืน แต่เมื่อดูพบว่าสามารถหลับได้ และไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในเวลากลางวัน
  • Idiopathic Insomniaอาการนอนไม่หลับที่ค่อยเป็นค่อยไปมาตั้งแต่เด็กอย่างต่อเนื่อง
  • Insomnia Due to Mental Disorderนอนไม่หลับจากโรคทางจิต
  • Inadequate Sleep Hygiene นอนไม่หลับจากกิจวัตรที่ทำในแต่ละวัน เช่น นอนไม่เป็นเวลา ออกกำลังกายหรือกินกาแฟก่อนนอน
  • Insomnia Due to a Drug or Substanceนอนไม่หลับจากยา ยาเสพติด กาแฟ แอลกอฮอล์ อาหาร สารพิษ
  • Insomnia Due to Medical Conditionนอนไม่หลับจากโรคทางกาย
  • Insomnia, Unspecificใช้วินิจฉัยระหว่างรอการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

การซักประวัติและตรวจร่างกายที่สำคัญได้แก่
  • ซักประวัติการนอน ได้แก่
    • ลักษณะการนอนไม่หลับ(หลับยาก ตื่นบ่อย ตื่นแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้นอน)ระยะเวลาที่เป็น ความถี่ ปัจจัยกระตุ้น การรักษาที่ผ่านมา
    • Pre-sleep conditionsกิจกรรมก่อนนอน สิ่งแวดล้อมในห้องนอน
    • Sleep-wake scheduleเวลาเข้านอน ระยะเวลาจนหลับ (> 30 นาที) จำนวนครั้งของการตื่น ระยะเวลาที่กลับไปหลับได้ใหม่ (> 30 นาที) จำนวนเวลาที่หลับ (< 85% หรือ < 6.5 ชม.)ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (season, menstrual cycle) ในคนที่มีรูปแบบที่ไม่แน่นอนอาจเกิดจาก circadian rhythm disorders
    • Nocturnal symptomsการหายใจ (กรน หายใจเฮือก ไอ) การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ (เตะ กระสับกระส่าย)ละเมอ ความรู้สึกทางกาย/ใจ
    • Daytime activities/functionอาการในช่วงกลางวัน (ง่วงนอน อ่อนเพลีย งีบหลับ) กิจวัตรประจำวัน การเดินทาง คุณภาพชีวิต อารมณ์ ความจำ โรคร่วมที่แย่ลง
  • ซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุจากโรคทางกาย(เช่น OSA, periodic limb movements, GERD, COPD, pain, stimulants ต่างๆ) และโรคทางจิตเวช (เช่น anxiety, depression)
  • ปัจจัยภายนอกที่มากระตุ้นชั่วคราวเช่น ความเครียด ใน adjustment insomnia
  • ประเมินความรุนแรงของการงีบหลับในเวลากลางวัน เช่น Epworth Sleepiness Scale
  • จดบันทึกเกี่ยวกับการนอนหลับ (Sleep diary) 2 สัปดาห์

การตรวจเพิ่มเติมอื่นๆจะทำเฉพาะในรายที่สงสัย เช่น polysonomnography (sleep apnea, movement disorders), daytime multiple sleep latency test (MSLT), actigraphy (circadian rhythm disorders)


การรักษา

รักษาโรคร่วม และเริ่มการรักษาโดยใช้ behavioral interventionอย่างน้อย 1 ชนิด ได้แก่ stimulus control therapy, relaxation therapy, หรือ ใช้ cognitive therapyร่วมกับ stimulus control therapy, sleep restriction therapy, +/- relaxation therapy
  • Stimulus control therapyคือ การทำลายความเชื่อมโยงระหว่างเตียงนอนกับการนอนไม่หลับ มีวิธีปฏิบัติดังนี้
    • ไปเตียงนอนเมื่อง่วงนอนเท่านั้น
    • รักษาตารางเวลาการหลับตื่นอย่างสม่ำเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการงีบหลับช่วงกลางวัน
    • ใช้เตียงนอนเพื่อนอนและเพื่อมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น (ไม่ดูทีวี หรืออ่านหนังสือ)
    • ถ้ารู้สึกว่านอนไม่หลับภายใน 20 นาที (ไม่ต้องมองนาฬิกา) อย่าพยายามที่จะนอนให้หลับให้ได้ แต่ให้ลุกจากเตียงมาทำกิจกรรมบางอย่างเงียบๆ จนกว่าจะง่วงนอนอีกครั้งจึงกลับไปที่เตียงนอน
  • Relaxation trainingใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ได้แก่ การนอนอย่างผ่อนคลาย รู้กายในอิริยาบถนอน รู้สึกถึงร่างกายส่วนใดสัมผัสกับที่นอน ให้สำรวจร่างกายทีละจุดจากหัวจรดเท้า ว่ามีส่วนไหนเกร็ง ก็ให้ผ่อนคลาย แล้วสังเกตท้องพองยุบตามลมหายใจเข้าออก ถ้าเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ให้เพียงระลึกรู้แล้วกลับมากำหนดที่ลมหายใจต่อไป
  • Cognitive Behavioral Therapy for insomnia (CBT-I)คือ การใช้ cognitive therapy ร่วมกับ behavioral therapy (stimulus control therapy, sleep restriction therapy) +/- relaxation therapy ซึ่งcognitive therapy จะใช้ psychotherapeutic method ในการปรับเปลี่ยนความคิดที่ผิด เช่น จะนอนไม่หลับถ้าไม่ใช้ยา เคมีในร่างกายขาดสมดุล ถ้านอนไม่หลับควรพักอยู่บนเตียง ชีวิตจะพังพินาศถ้านอนไม่หลับ การนอนน้อยกว่า 8 ชั่วโมงเป็นสิ่งที่ผิด เป็นต้น
  • Sleep restrictionการจำกัดเวลานอน โดยเชื่อว่าถ้านอนน้อยลงแล้วประสิทธิภาพการนอนจะดีขึ้น
    • บันทึกการนอน (sleep log) วัด mean total sleep time (TST)ประมาณ 1-2 สัปดาห์
    • จัดเวลานอน-ตื่น (เริ่มไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง) ให้เวลานอนหลับ > 85% ของเวลาที่อยู่บนเตียงนอนจนได้ > 7 วัน
    • ค่อยๆเพิ่มเวลานอนทีละ 15-20 นาทีทีละสัปดาห์ ถ้านอนหลับได้ > 85-90%  หรือลดเวลานอน 15-20 นาที ถ้านอนหลับได้ < 80%
    • ปรับเวลานอนทุก 7 วันจนได้เวลานอนที่เหมาะสม

Sleep hygieneควรทำร่วมด้วยทุกคน แต่การทำ sleep hygiene อย่างเดียวไม่มีหลักฐานว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา chronic insomniaตัวอย่างเช่น
  • รักษาตารางเวลาการหลับตื่นอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนตั้งแต่ช่วงบ่าย หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นเช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก รวมถึงงานที่ทำให้หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ช่วงหลายชั่วโมงก่อนเข้านอน ทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนนอน
  • ออกกำลังกายทุกวัน
  • หลีกเลี่ยงการงีบหลับช่วงกลางวัน
  • ถ้ามีเรื่องคิดวิตกกังวลให้เขียนเอาไว้ และจัดการเรื่องนั้นในตอนเช้า
  • การปรับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การทำให้ห้องนอนปราศจากเสียงรบกวน หรือใช้ white noise เช่น เสียงหึ่งๆของเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมจะช่วยกลบเสียงรบกวนได้ ใช้ม่านบังแสงเพื่อไม่ให้ห้องนอนสว่างเกินไป


การรักษาโดยการใช้ยา
อาจให้ยานอนหลับเสริมจากการทำ behavioral และ cognitive therapies ในช่วงสั้นๆ ยาที่แนะนำขึ้นกับว่าเป็นกลุ่มหลับยาก (sleep onset insomnia) หรือ ตื่นกลางดึกบ่อยๆ (sleep maintenance insomnia) ได้แก่
  • Orexin receptor agonistได้แก่ Suvorexant (10, 15/20, 20 mg) ใช้ใน sleep maintenance insomnia
  • BZD receptor agonist ได้แก่
    • Eszopiclone (2, 3 mg) ใช้ใน sleep onset และ sleep maintenance insomnia
    • Zolpidem (10 mg) ใช้ใน sleep onset insomnia
    • Zaleplon (10 mg) ใช้ใน sleep onset และ sleep maintenance insomnia
  • Benzodiazepinesได้แก่
    • Triazolam (0.25 mg) ใช้ใน sleep onset insomnia
    • Temazepam (15 mg) ใช้ใน sleep onset และ sleep maintenance insomnia
  • Melatonin agonistได้แก่ ramelteon (8 mg)ใช้ใน sleep onset insomnia
  • Heterocyclicsได้แก่doxepine (3, 6 mg)ใช้ใน sleep maintenance insomnia
  • ยาอื่นที่ไม่แนะนำให้ใช้ ได้แก่ trazodone, tiagabine, diphenhydramine, melatonin, L-tryptophan, valerian



Pediatric stridor, drooling

$
0
0
Pediatric stridor, drooling

เมื่อลมผ่านบริเวณที่ตีบแคบจะมีความเร็วเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันจะทำให้แรงดันที่กระทำต่อผนังลดลง (ตามกฎการอนุรักษ์พลังงานของ Bernoulli) ทำให้ผนังยุบตัวลงและเกิดการสั่นเกิดเป็นเสียง stridor มีลักษณะเป็น high-pitched, harsh sound และการที่ขนาดของหลอดลมเล็กลงจะทำให้เกิดแรงเสียดทานเพิ่มขึ้นมาก (Hagen-Poiseuille equation: Resistant แปรผกผันกับ radius4)

Stridor ในเด็กอายุ < 6 เดือนที่มีประวัติเป็นมานานจะเกิดจาก congenital cause (ดูเรื่อง neonatal emergencies) ต้องทำการวินิจฉัยโดยการทำ imaging หรือ direct visualization (flexible laryngoscope, endoscope, bronchoscope) ได้แก่
  • Laryngomalaciaส่วนใหญ่มีอาการหลังเกิดไม่นาน stridor จะแย่ลงเมื่อร้อง หายใจเร็ว โดนกระตุ้นจาก URI อาการจะดีขึ้นเมื่อนอนคว่ำหรือทำ neck extension โดยทั่วไป stridor จะหายก่อนอายุ 18 เดือน
  • Vocal cord paralysisส่วนใหญ่เป็น unilateral cord paralysis มาด้วย feed ยาก หายใจมีเสียง stridor เสียงแหบ;ใน bilateral cord paralysis จะมี stridor แต่ไม่มีเสียงแหบ เหนื่อย มีอาการเขียวและหยุดหายใจ อาจต้องทำ needle cricothyroidotomy ในรายที่ต้อง secure airway
  • Subglottic stenosisปกติจะวินิจฉัยได้ช่วงอายุ 2-3 เดือนแรก มาด้วย persistent inspiratory stridorส่วนใหญ่เกิดจาก prolonged ETTในรายที่เป็นไม่มากอาจมาด้วย recurrent หรือ persistent croup; ปกติ stridor จะหายได้เองเมื่ออายุ 2-3 ปี
  • Airway hemangiomaสงสัยในรายที่ไม่มีอาการช่วงเดือนแรกหลังเกิด เพราะ hemangioma จะค่อยๆโตขึ้นในช่วง 1 ปีแรกและหายไปเองเมื่ออายุ 5 ปี ในเด็กอายุ < 6 เดือน อาจพบ cutaneous hemangioma โดยเฉพาะบริเวณ beard distribution
  • Vascular ring/slingพบได้น้อยมาก เช่น double- หรือ right-sided aortic arch มักมีอาการตั้งแต่เกิดหรือตั้งแต่ในเดือนแรก อาการอาจจะแย่ลงเมื่อมี URI ตรวจ CXR อาจพบ right-sided aortic arch, anterior compression ของ trachea (lateral view)


Stridor ในเด็กอายุ> 6 เดือนปกติจะเป็นมาไม่นาน เกิดจาก infection/inflammation หรือ FB aspiration

Croup(viral laryngotracheobronchitis)
  • พบในเด็กช่วงอายุ 6 เดือน–3 ปี มักมีไข้ต่ำๆ ไอ น้ำมูก คัดจมูก นำมาก่อน 1-3 วัน แล้วมีอาการไอเสียงก้อง (harsh barking cough) เสียงแหบ หายใจมีเสียง stridor เป็นมากตอนกลางคืน ปกติอาการจะเป็นมากที่สุดในวันที่ 3-4 และเป็นนานประมาณ 3-7 วัน
แบ่ง severity ออกเป็น (หรือคำนวณจาก Westley croup severity score)
  • Mild: barking cough นานๆครั้ง ขณะพักไม่มี stridor ไม่มี retraction
  • Moderate: barking cough บ่อย ขณะพักมี stridor มี chest wall/subcostal retraction กระสับกระส่ายเล็กน้อย
  • Severe: barking cough บ่อย มีเสียง stridor ชัดเจนตอนหายใจเข้า อาจได้ยินตอนหายใจออก มี sternal  retraction กระสับกระส่าย distress

Ix: imaging อาจทำเพื่อวินิจฉัยแยกโรค; steeple sign พบได้ประมาณ 50% และอาจพบในเด็กปกติ
Tx:
  • ให้เด็กอยู่ในท่าที่สบายที่สุด ไม่ทำให้เด็กกลัว ปกติจะให้นั่งบนตักของพ่อแม่ 
  • Epinephrine ให้ใน moderate-severe croup ขนาด (1:1000)0.5 mL/kgNB (max 5 mL) มี duration ~1 ชั่วโมง แนะนำให้สังเกตอาการ 3 ชั่วโมง สามารถให้ซ้ำได้ทุก15-20 นาที (ถ้าให้ > 3 ครั้ง/2 ชม.ให้ทำ ECG monitoring)
  • Dexamethasone ให้ทุกราย ขนาด0.15-0.6 mg/kg (moderate-severe ให้ 0.6 mg/kg) PO/IM/IV (max 16 mg) ให้ route ที่รบกวนเด็กน้อยที่สุด สามารถนำยา IV มาให้ทาง PO ได้
  • Budesonide 2 mg NB ถ้าให้ steroids กินแล้วอาเจียน
  • ในเด็กที่ต้องได้ epinephrine NB > 2 ครั้ง ขณะพักยังมี persistent stridor มีtachypnea, retractions หรือ hypoxia ให้รับไว้ในรพ. ถ้าต้องใส่ ETT ให้เลือกขนาดเล็กกว่าปกติ



Epiglottitis
  • พบได้ทุกอายุ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก 1-7 ปี มาด้วยไข้เฉียบพลัน เจ็บคอ น้ำลายสอ มักจะดำเนินโรคเร็ว มี stridor กระสับกระส่าย หายใจลำบาก ต้องนั่งแหงนคอเอนตัวมาด้านหน้า (tripod position) มักไม่ไอ เสียงพูดเป็น muffled voice (“Hot potato”)
Ix: Bedside lateral neck x-ray ถ้าไม่แน่ใจในการวินิจฉัย
Tx:
  • ABC ให้เด็กอยู่ในท่าที่สบาย, O2, epinephrine NB
  • Consult ENT, anesthesiologist; ใส่ ETT ทันทีเมื่อวินิจฉัยได้ พิจารณาทำ RSI ตามสถานการณ์ เตรียม surgical airway
  • ATB: (ceftriaxone 50 mg/kg หรือ cefuroxime 50 mg/kg IV) +/- vancomycin 10 mg/kg IV x 7-10 วัน
  • Steroid IV



Bacterial tracheitis (membranous laryngotracheobronchitis, bacterial croup)
  • พบในเด็กอายุ 3 เดือน-13 ปี (เฉลี่ย 5-8 ปี) มักมีประวัติ viral URI นำมาก่อน แล้วมีไข้สูงเฉียบพลัน ดู toxic หายใจมีเสียง stridor ทั้งตอนหายใจเข้าและหายใจออก เสียงพูดปกติ ไอมีเสมหะเหนียว มักบ่นเจ็บบริเวณ trachea ตรวจร่างกายจะกดเจ็บบริเวณ trachea
Ix: film lateral neck (ไม่จำเป็นต้องทำ) จะพบ subglottic narrowing, irregular tracheal margins
Tx:
  • เช่นเดียวกับ epiglottitis วิธีการวินิจฉัยและรักษาที่ดีที่สุดคือการทำ bronchoscopy เพื่อ remove purulent pseudomembrane
  • ATB: ampicillin/sulbactam; 3rd generation cephalosporin + clindamycin; +/- vancomycin



Airway Foreign Body
  • ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 6 เดือน-5 ปี ถ้าเป็น laryngotracheal FB ทำให้เกิดstridor, hoarseness; ถ้าเป็น bronchial FB ทำให้เกิดunilateral wheezing, decreased breath sounds
  • Ix: film neck PA/lateral, CXR PA/lateral ส่วนใหญ่เป็น radiolucent เพราะฉะนั้นต้องหา indirect signs เช่น  unilateral obstructive emphysema, focal atelectasis/consolidation
  • Tx: แม้ว่าจะไม่เห็นจาก x-ray ก็ควรไปทำ bronchoscopy ต่อ; ดูแลเรื่อง airway ตาม BLS/ACLS



Retropharyngeal Abscess
  • พบในเด็ก 6 เดือน-4 ปี ส่วนใหญ่เกิดตามหลัง URI 2-3 วัน มีไข้ เจ็บคอ กลืนเจ็บ น้ำลายสอ คอบวม เสียงพูดมักจะเป็น muffled voice (“Hot potato”) เด็กอาจมี stiffness, torticollis และ hyperextension เมื่อเป็นมากขึ้นจะมี stridor และ respiratory distress ตรวจพบ bulging ของ posterior oropharynx ถ้ามี pleuritic chest pain แสดงว่ามีการติดเชื้อที่ mediastinum
  • Ix: Film lateral neck with extended + inspiration: retropharyngeal space ระดับ C2 > 2 เท่าของ vertebral body หรือ > 1.5 เท่าของ C4 vertebral body; CT with contrast ดูขอบเขตของโรค แต่อาจแยกระหว่าง cellulitis กับ abscess ไม่ได้
  • Tx: consult ENT, ampicillin-sulbactam หรือclindamycin



Peritonsillar Abscess
  • พบในเด็กอายุ 10-18 ปี มีไข้หนาวสั่น เจ็บคอรุนแรง อ้าปากได้ไม่เต็มที่ (trismus) อาจกลืนน้ำลายไม่ได้ ปวดหูข้างเดียวกัน มี torticollis เสียงพูดเป็น muffled voice (“Hot potato”) ตรวจพบ bulging ของ tonsil ทำให้ uvula เอียงไปอีกข้างหนึ่ง โดยปกติเด็กจะดู toxic (ถ้าเด็กดูดีอาจเป็นแค่ peritonsillar cellulitis)
  • Ix: CT with contrast IV ในรายที่ failed I&D, ตรวจร่างกายไม่ได้เพราะ trismus หรือไม่ร่วมมือ
  • Tx: ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่น ดู non-toxic อาจให้ ATB PO รักษาแบบ peritonsillar cellulitis; needle aspiration ส่ง G/S, C/S; ATB IV (ampicillin-sulbactam, clindamycin) หรือ PO (augmentin, penicillin, clindamycin)


Lugwig’s angina
  • มักเกิดจาก periapical abscess ของ mandibular molars ลามไปตาม submandibular space
  • เริ่มจาก mild infection แล้วโรคพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดที่ปากอย่างรุนแรง น้ำลายสอ อ้าปากได้ไม่เต็มที่ ลิ้นยื่นออกมา คอบวมแข็ง (brawny neck swelling) เด็กต้องนั่งเอนตัวมาด้านหน้า หายใจมีเสียง stridor
  • Tx: ให้รีบใส่ ETT ตั้งแต่ในระยะแรก อาจต้องทำ tracheostomy; ทำ surgery, ให้ ATB IV



Diptheria
  • มีไข้ต่ำๆ เจ็บคอ อ่อนเพลีย กลืนเจ็บ;ใน pharyngeal diphtheria จะตรวจพบ gray membranes (pseudomembranes) ที่ tonsil และ soft palate; ส่วนใน laryngeal diphtheria จะมี barking cough, stridor, hoarseness และ difficulty breathing ร่วมกับคอบวมอย่างมาก (“bull neck”)
  • Ix: nasopharyngeal swab for C. diphtheria
  • Tx: antitoxin, ATB (erythromycin, penicillin G), respiratory support; ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ myocarditis, neuritis อาจทำให้ diaphragmatic paralysis ได้



Oropharyngeal trauma
  • ส่วนใหญ่มักพบในเด็กอายุ 2-4 ปี ล้มขณะที่คาบของไว้ในปาก (“pencil injuries”) ถ้ามี free air เข้าไปใน neck และ chest อาจทำให้เกิด stridor และ airway obstruction ได้
  • Ix: film soft tissue lateral neck เพื่อดู air ใน soft tissue, FB หรือ abscess; CT angiogram ถ้าสงสัย carotid injury (unstable, lateral pharyngeal trauma)
  • Tx: ถ้าแผลมีขนาดใหญ่ หรือ persistent bleeding อาจต้องเย็บซ่อม

Ref: Tintinalli ed8th, Up to Date

Acute limb ischemia

$
0
0
อาการและอาการแสดง: จะมาด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน"6 Ps"ได้แก่ pain, pallor, paralysis, pulselessness, paresthesias, poikiothermia; ให้ประเมิน 3 อย่างได้แก่
  1. Localization (aorto-iliac-femoral-popliteal)
  2. Degree of ischemia
  3. Etiology (thrombosis, embolism)

ประเมิน degree of ischemia โดยใช้ Rutherford criteria
Degree of ischemia
Sensory loss
Muscle weakness
Arterial Doppler
Venous Doppler
I Viable
None
None
Audible
Audible
IIa Marginal threatening
Toes
None
X
Audible
IIb Immediately threatening
> Toes, rest pain
Mild-moderate
X
Audible
III Irreversible
Anesthesia
paralysis
X
X

ประเมินสาเหตุ
Emboli
Thrombosis (> 80%)
  • อาการทันทีทันใด
  • ไม่มีประวัติ claudication
  • แขนขาอีกข้างปกติ
  • พบ source เช่น atrial fibrillation, recent MI, mechanical valve, atrial myxomas, aneurysm, DVT (paradoxical emboli)
  • อาการค่อยเป็นค่อยไป
  • มีประวัติ intermittent claudicationนำมาก่อน
  • มีลักษณะ shiny, hyperpigmented skin, ขนร่วง เล็บหนา

สาเหตุอื่นๆ: catheterization complication, trash foot/blue toe syndrome (atheroemboli), vasculitis (RA, lupus, PAN), Raynaud’s disease, Takayasu’s arteritis, Thromboangiitis obliterans (Buerger’s disease), HIV arteritis, hypothenar hammer syndrome, popliteal artery entrapment, popliteal aneurysm, external iliac artery endofibrosis, local artery trauma, shock-related arterial ischemia, thoracic aortic dissection, intra-arterial drug injection, vasopressor

Investigation
  • CBC, BUN, Cr, electrolytes, glucose, CPK, lactate, cardiac enzyme, PT, aPTT, fibrinogen (ถ้าอาจให้ thrombolytic); ECG, CXR
  • CT angiographyของ abdomen, pelvis, bilateral lower extremities (chest มักทำตอน post-op)
  • Ankle-brachial index(ABI) ในรายที่ตรวจ Doppler ได้ ถ้า < 0.4 แสดงว่ามี severe ischemia; **10% ของผู้ป่วยมี anatomic variation จะตรวจ Doppler ไม่ได้


Initial management of acute embolism of lower extremities
  • Consult vascular surgeon, cardiologist (medical risk assessment)
  • UFH 80 U/kg IV bolus then IV drip 18 U/kg/h 

  • IVF, pain control, environment protection: จาก extreme temperature


Chronic obstructive arterial obstruction (> 2 สัปดาห์ให้ aspirin 81-162 mg/d และ disease modification ได้แก่ smoking cessation, exercise; ยาที่ใช้รักษาอาการ claudication ได้แก่ cilostazol, phosphodiesterase inhibitor, pentoxifylline


Disposition: ใน chronic PAD stage I สามารถ D/C ได้ ให้ ASA 325 mg PO stat then 81 mg/d และนัด F/U vascular surgeon


Ref: Tintinalli ed8th, Up-to-Date

Dyspepsia

$
0
0
Peptic ulcer disease, Gastritis
  • Dyspepsia คือ อาการปวดหรือไม่สุขสบายช่องท้องส่วนบน อาจมีอาการท้องอืด คลื่นไส้ ร่วมด้วย
  • Peptic ulcer disease คือโรคเรื้อรังที่มีการตรวจพบแผลใน stomach หรือ proximal duodenum
  • Gastritis คือ มีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง

อาการ: ส่วนใหญ่มีอาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ อาจปวดตื้อ ปวดเสียด รู้สึกท้องว่าง หรือรู้สึกหิว มักเป็นตอนท้องว่าง ต้องตื่นกลางดึกเพราะอาการปวดท้อง อาการดีขึ้นหลังกินนม อาหารหรือยาลดกรด อาการมักเป็นทุกวันเป็นสัปดาห์ แล้วเว้นช่วงหายไปหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนก่อนที่จะกลับมาเป็นใหม่อีก; อาจจะมาด้วย S&S ของภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ PU perforation, UGIH, gastric outlet obstruction

ดูเรื่อง approach to abdominal pain

Ix: เมื่อสงสัย DDx อื่นหรือ complication; H. pylori test ได้แก่ IgG Ab (sensitivity 85% specificity 79%), urea breath test (sensitivity, specificity > 95%), stool antigen test (sensitivity, specificity > 90%)

Tx:
  • GI cocktail(2% xylocaine viscous 15 mL + alum-milk 30 mL) สามารถลดอาการปวดเฉียบพลันได้อย่างมีนัยสำคัญที่ 30 นาที (pain score ลดลง 4)
  • ทำ endoscopy ในรายที่มีสัญญาณอันตราย
สัญญาณอันตรายที่ควรทำ endoscopy
  • อายุมาก> 50ปี ที่มีอาการเกิดขึ้นใหม่
  • น้ำหนักลด (unexplained)
  • อาเจียน (persist)
  • กลืนเจ็บ หรือ กลืนลำบาก
  • เลือดออก (GIB), ซีด (iron deficiency anemia)
  • ก้อน (abdominal mass)
  • ต่อมน้ำเหลืองโต (lymphadenopathy)
  • ประวัติมะเร็งทางเดินอาหารส่วนต้นในครองครัว
  • หลีกเลี่ยง แอลกอฮอล์ บุหรี่ NSAIDs (รวม aspirin) และอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ; ในรายที่จำเป็นต้องใช้ NSAIDs อาจให้ยา PPI หรือ misoprostol เพื่อป้องกัน PU
  • PPI ขนาดที่แนะนำ คือ omeprazole20-40 mg OD, pantoprazole20-40 mg OD, esomeprazole 20–40 mg OD, rabeprazole 20 mg OD, lansoprazole 15-30 mg OD, dexlansoprazole 30-60 mg OD; ให้นาน 4 สัปดาห์ใน active duodenal ulcer และ 8 สัปดาห์ใน gastric ulcer 
  • H2RA มีประสิทธิภาพด้อยกว่า PPI และถ้า CrCl < 50 ให้ลด dose 50% ได้แก่ ranitidine 150 mg BID, famotidine 10–20 mg BID
  • Antacidsให้ไว้ใช้ในกรณีอาการกำเริบระหว่างใช้ PPI หรือ H2RA

Dispositionในรายที่ไม่มีสัญญาณอันตราย และไม่มีภาวะแทรกซ้อน แนะนำการปฏิบัติตัวและการสังเกตอาการ นัด F/U 24-48 ชั่วโมง ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือ 1-2 สัปดาห์ ถ้าอาการดีขึ้น


Ref: Tintinalli ed8th, Up-to-Date

Pulmonary embolism

$
0
0
Pulmonary embolism
ประวัติ
  • Dyspneaในคนสุขภาพแข็งแรงมาก่อน อาจจะมีอาการเหนื่อยไม่รุนแรง โดยที่ vital signs ปกติได้
  • Pruritic chest pain (distal clot) มักจะเจ็บระหว่าง clavicle และ costal margin (ไม่ใช่ substernal) เจ็บมากขึ้นเมื่อไอหรือหายใจ (โดยที่ skin หรือ muscle ไม่เจ็บ); อาจจะมี refer pain ไปที่ไหล่เหมือน biliary colic
  • Syncope
  • Paradoxical embolism syndromeจากการที่ clot ผ่านไปทาง patent foramen ovale เข้าสู่สมอง อาจมาด้วยชัก  สับสน อาการชา อ่อนแรง สามารถเป็นๆหายๆได้

ปัจจัยเสี่ยงเช่น อายุมาก (เพิ่มตามอายุ โดยเฉพาะ 50-80 ปี), อ้วน (BMI > 35), postpartum, ประวัติ VTE, cancer (โดยเฉพาะ adenocarcinoma, metastatic CA; leukemia และ myeloma โดยเฉพาะเมื่อรักษาด้วย L-asparaginase และ thalidomide derivatives), ประวัติ thrombophilia, ประวัติ surgery/major trauma ภายใน 4 สัปดาห์, immobilization มากกว่า 2 ข้อ, bed rest > 72 ชั่วโมง, ใส่ indwelling catheter, เดินทางนาน > 6 ชั่วโมง, CHF, stroke (โดยเฉพาะใน 1 เดือนแรก), estrogen (OCP โดยเฉพาะในเดือนแรกๆ), inflammatory conditions (IBD, lupus, nephrotic)

ตรวจร่างกาย
  • Vital signs(อาจจะปกติได้ 1/3): PR > 100/min, tachypnea, T > 38oC (พบได้ 10%)
  • Lung soundส่วนใหญ่จะปกติ อาจจะมี crepitation ได้ใน lung ข้างที่มี pathology
  • Heart soundอาจได้ยิน RV S3หรือ split S2 with loud S2

Investigations
  • CBC, Cr, BNP, troponin, TB, albumin, PT, aPTT
  • ABG: PaO2ต่ำ (73+/-19), A-a gradient กว้าง, PaCO2ต่ำ
  • CXR: อาจพบความผิดปกติที่ไม่จำเพาะเช่น cardiomegaly, basilar atelectasis, infiltrate, pleural effusion; ที่จำเพาะกว่าแต่พบได้น้อย < 5% เช่น Westermark sign (lung oligemia), Hampton hump (peripheral dome shape opacification)
  • ECG: sinus tachycardia, RBBB, S1Q3T3, TWI V1-V4
  • D-dimerปกติถ้า < 500 หรือ < อายุ x10; ถ้า > 5 วันแล้วอาจเกิด false-negative ได้
  • CTA pulmonaryต้องการ 64- หรือ 128-head scanners ถึงจะสามารถเห็น subsegmental pulmonary arteries ได้ดี; 10% ของ CTA อาจจะแปลผลไม่ได้จาก motion artifact หรือ poor pulmonary artery opacification
  • V/Q scan

การวินิจฉัย PE
ใน hemodynamically stableที่สงสัย PE ให้พิจารณาดังนี้  
  1. ถ้าอาการโดยรวมสงสัยหรือเข้าได้กับ PE (หรือ well score > 4) ให้ทำ CTA pulmonary หรือ V/Q scan (GFR < 60 หรือ pregnancy)
  2. ถ้ายังคิดถึง PE น้อย ให้ใช้ PERC ruleพิจารณา
  • ถ้าเข้าได้กับ PERC rule ทุกข้อไม่ต้องตรวจเพิ่มเติม
  • ถ้า PERC rule ยัง R/O ไม่ได้ พิจารณาตรวจ D-dimer (โดยเฉพาะถ้าไม่มีภาวะที่อาจเกิด false-positive ที่ทำให้แปลผลไมได้ เช่น อายุ > 70 ปี, pregnancy, active CA, recent surgery < 1 wk, liver disease, RA, infections, trauma)
  • ถ้า positive D-dimer ให้พิจารณาตรวจเพิ่มเติม เช่น Doppler US (ช่วย Dx PE แต่ใช้ R/O ไม่ได้), CTA pulmonary, V/Q scan
  • ***ในบางรายที่ทำ CTA แล้วอาจยังแปลผลไมได้ ให้พิจารณาการตรวจอื่นๆเพื่อช่วยในการวินิจฉัยเช่น Doppler US, D-dimer (เช่นถ้า D-dimer > 8 เท่าของค่าปกติ ก็เป็น high LR), V/Q scan
    ***PERC x 2***
    • Pulse < 100/min (persist)
    • PaO2> 94%
    • Extremities no swelling
    • Elderly < 50 y
    • Recent surgery/trauma (no)
    • Recent VTE (no)
    • Contraceptive no use
    • Coughing up blood

    ใน hemodynamically unstableที่ไม่สามารถไปทำ definite imaging ได้ให้ทำ bedside echocardiography หรือ venous compression ultrasound เพื่อให้การวินิจฉัยเบื้องต้นก่อน

    Treatment
    • Hemodynamic support: O2 supplement; IVF ในรายที่มี hypotension ให้ IV NSS 500-1000 mL แล้วตามด้วย vasopressor (การ aggressive fluid resuscitation ทำให้ RV failure มากขึ้น); vasopressor แนะนำ norepinephrine +/- dobutamine (ต้องให้ขนาดสูงพอที่ผลของการเพิ่ม contractility มากกว่า vasodilation)
    • Empiric anticoagulantในรายที่ไม่มีข้อห้าม (recent surgery, hemorrhagic stroke, active bleeding) สามารถให้ได้เลยใน highly suspicious (Wells score > 6) โดยไม่ต้องรอ definite diagnosis หรือ moderate suspicious (Wells score 2-6) ถ้าต้องรอ imaging > 4 ชั่วโมง [menstruation, epistaxis, minor hemoptysis ไม่ใช่ข้อห้ามในการให้ anticoagulant]
      • UFHให้ใน hemodynamically unstable, severe renal failure (GFR < 30), extensive clot burden, obesity, poor subcutaneous absorption (massive edema, anasarca) ให้ UFH ขนาด 80 units/kg bolus, then 18 units/kg/h infusion
      • Direct oral anticoagulants (DOACs)ไม่แนะนำใน hemodynamically unstable PE โดยยาที่สามารถให้เป็น monotherapy ได้แก่ Rivaroxaban15 mg PO BID x 21 d then 20 mg PO OD, Apixaban 10 mg PO BID x 7 d then 5 mg PO BID; ส่วน dabigatran และ edoxaban ต้องให้ LMWH ก่อน 5 วัน
      • LMWHแนะนำใน pregnancy, active cancer, และในรายที่วางแผนจะให้ warfarin, dabigatran, หรือ edoxaban ในระยะยาว หรือในรายที่มีปัญหาในการให้ทาง oral ได้แก่ enoxaparin 1 mg/kg BID, dalteparin 200 units/kg OD, tinzaparin 175 units/kg OD
      • Fondaparinuxเป็นทางเลือกต่อ LMWH (เช่น ต้องการฉีดยาวันละครั้ง, HIT) ให้ 5 mg OD (< 50 kg), 7.5 mg OD (50-100 kg), 10 mg (> 100 kg); ถ้า CrCl 20-50 mL/min ให้ลดเหลือ 1.5 mg OD
    • Thrombolytic therapy ใน refractory hypotension หรือ recurrent PE ขณะให้ anticoagulant ให้  Alteplase 100 mg IV < 2 hrแล้วตรวจ aPTT และให้ UFH drip ต่อถ้า aPTT ratio < 2xUNL
    • Surgical embolectomy ใน hemodynamically unstable ที่มีข้อห้ามต่อการให้ thrombolysis, failed thrombolysis, หรือไม่สามารถทำ catheter-based thrombolysis ได้


    Disposition
    • สามารถรักษาแบบ OPD case ได้ใน PE ที่เป็น low risk มากๆ (incidental finding, Simplified PE Severity Index Score = 0, Hestia criteria negative) โดยสามารถเลือกวิธีการให้ยาได้หลายแบบ เช่น
      • LMWH + warfarin เริ่มให้พร้อมกัน
      • LMWH 5-10 วันแล้วตามด้วย dabigatran หรือ edoxaban
      • Rivaroxaban หรือ apixaban
    • Admit ในรายที่เป็น PE (severe PE หรือได้ thrombolytic ให้ admit ICU) 



      Ref: Tintinalli ed8th, Up-to-Date

      Deep vein thrombosis

      $
      0
      0
      DVT
      จะมาด้วยปวด บวม (โดยเฉพาะถ้าต่างกัน > 2 cm วัดใต้ต่อ tibial tubercle 10 cm)แดง (จาก thrombophlebitis มักเกิดที่ calf หรือ saphenous vein)มักเกิดที่ขา ถ้าเกิดที่แขนมักจะสัมพันธ์กับ catheter
      ใน proximal DVT ที่มี complete venous obstruction อาจทำให้เกิด limb ซีดขาว (phlegmasia alba dolens) หรือสีคล้ำ (phlegmasia cerulean dolens) ซึ่งเสี่ยงต่อ limb loss ต้องการ aggressive treatment (เช่น thrombolysis, catheter-directed thrombectomy)

      การวินิจฉัย DVT
      ประเมิน pretest probability ด้วย Wells’ criteria (< 3: high (75%); 1-2: moderate (17%); < 1: low (3%))

      • Low probabilityให้ตรวจ high-/moderate-sensitivity D-dimer หรือ ถ้ามีภาวะที่อาจทำให้เกิด false positive ของ D-dimerให้ข้ามไปทำ US เลย
        • ถ้า normal D-dimer ไม่ต้อง investigation ต่อ
        • ถ้า positive D-dimer (> 500 ng/mL) ให้ทำ whole leg US หรือ proximal compression US (CUS)
      • Moderate probabilityให้ตรวจ high-sensitivity D-dimer หรือ ถ้ามีภาวะที่อาจทำให้เกิด false positive ของ D-dimerให้ข้ามไปทำ US เลย
        • ถ้า normal D-dimer ไม่ต้อง investigation ต่อ
        • ถ้า positive D-dimer (> 500 ng/mL) ให้ทำ whole leg US หรือ proximal compression US (CUS)
          • ถ้า negative proximal CUS อาจทำ whole leg US ต่อหรือนัดทำ proximal CUS ซ้ำอีก 1 สัปดาห์
      • High probabilityให้ทำ whole leg US หรือ proximal CUS
        • ถ้า negative whole leg US ไม่ต้อง investigation ต่อ
        • ถ้า negative proximal CUS ให้ทำ investigation ต่อโดยพิจาณาภาวะของผู้ป่วย ได้แก่ อาจทำ whole leg US (สงสัย calf DVT), iliac vein US (สงสัย iliac vein thrombosis เช่น extensive leg swelling, abnormal pelvic anatomy), ตรวจ high-sensitivity D-dimer (ถ้ามา F/U ไม่ได้), หรือนัดทำ proximal CUS ซ้ำอีก 1 สัปดาห์ (ถ้ามีภาวะที่ D-dimer จะ false positive)  


      Treatment
      • Initial anticoagulantให้ใน proximal DVT ที่ไม่มีข้อห้าม (active hemorrhage, platelet < 50,000, prior ICH) และ distal DVT ที่มี low bleeding risk (HAS-BLED score) ยกเว้นใน distal DVT บางกลุ่ม (ดูด้านล่าง)
        • Direct oral anticoagulants (DOACs)ไม่แนะนำใน massive iliofemoral DVT โดยยาที่สามารถให้เป็น monotherapy ได้แก่ Rivaroxaban15 mg PO BID x 21 d then 20 mg PO OD, Apixaban 10 mg PO BID x 7 d then 5 mg PO BID; ส่วน dabigatran และ edoxaban ต้องให้ LMWH ก่อน 5 วัน
        • LMWHแนะนำใน pregnancy, active cancer, และในรายที่วางแผนจะให้ warfarin, dabigatran, หรือ edoxaban ในระยะยาว หรือในรายที่มีปัญหาในการให้ทาง oral ได้แก่ enoxaparin 1 mg/kg BID, dalteparin 200 units/kg OD, tinzaparin 175 units/kg OD
        • Fondaparinuxเป็นทางเลือกต่อ LMWH (เช่น ต้องการฉีดยาวันละครั้ง, HIT) ให้ 5 mg OD (< 50 kg), 7.5 mg OD (50-100 kg), 10 mg (> 100 kg); ถ้า CrCl 20-50 mL/min ให้ลดเหลือ 1.5 mg OD
        • UFHให้ใน hemodynamically unstable, severe renal failure (GFR < 30), extensive clot burden, obesity, poor subcutaneous absorption (massive edema, anasarca) ให้ UFH ขนาด 80 units/kg bolus, then 18 units/kg/h infusion
      • Thrombolytic therapyใน massive iliofemoral DVT หรือ phlegmasia cerulean dolens ที่เป็นมานาน < 14 วัน แนะนำให้ systemic (alteplase 100 mg IV < 2 h) หรือ catheter-directed thrombolytic therapy +/- clot removal แล้วตามด้วย anticoagulation
      • Superficial thrombophlebitisให้ NSAIDS PO/tropical และพิจารณา anticoagulant กรณีเป็น extensive superficial vein involvement
      • Isolated calf vein thrombosis (+ high bleeding risk, asymptomatic, negative D-dimer, no risk of extension, minor thrombosis) อาจยังไม่ต้องเริ่มให้ anticoagulant ให้นัดทำ serial US ที่ 2 สัปดาห์เพื่อดูว่ามี thrombus extension หรือไม่


      Disposition
      • สามารถรักษาแบบ OPD case ได้ใน hemodynamically stable, low bleeding risk, no renal insufficiencyโดยสามารถเลือกวิธีการให้ยาได้หลายแบบ เช่น
        • LMWH + warfarin เริ่มให้พร้อมกัน
        • LMWH 5-10 วันแล้วตามด้วย dabigatran หรือ edoxaban
        • Rivaroxaban หรือ apixaban

      ข้อบ่งชี้ของ DVT ที่จำเป็นต้องนอนรพ.ได้แก่
      • Massive DVT (iliofemoral DVT, phlegmasia cerulean dolens)
      • เสี่ยงต่อ bleeding (coagulopathy, active PU, liver disease)
      • Limited cardiorespiratory reserve
      • จำเป็นต้องให้ UFH IV
      • สงสัยจะมี PE ร่วมด้วย (Simplified PE Severity Index Score > 0, Hestia criteria positive)
      • สงสัย heparin-induced thrombocytopenia
      • มีข้อจำกัดต่อ home therapy เช่น poor compliance



      Ref: Tininalli ed8th, Up-to-Date

        Nephrolithiasis

        $
        0
        0
        ประเภทของนิ่ว เรียงตาม radiopaque > > radiolucent
        • Calcium oxalate, calcium phosphate (80%): radiopaque
        • Struvite (magnesium-ammonium-phosphate) (10%)
        • Cystine (1%): genetic disorder
        • Uric acid (10%)
        • Others ได้แก่ indinavir, triamterene, xanthene, silicate


        ซักประวัติและตรวจร่างกาย(ดูเรื่อง approach to abdominal pain)
        • อาจปวดเล็กน้อยถึงปวดรุนแรง ต้องนอนบิดตัวเพราะความเจ็บปวด มักปวดเป็นพักๆ ครั้งละ 20-60 นาที อาจมี N/V ร่วมด้วย
        • ตำแหน่งที่ปวดขึ้นกับตำแหน่งของ stone ได้แก่ upper ureter(flank), mid-ureter (anterior lower abdomen), distal ureter(groin)
        • Hematuria พบประมาณ 85% เป็น gross hematuria ~ 30%
        • ประวัติเสี่ยงต่อ renal functionได้แก่ DM, HT, renal insufficiency, single kidney, horseshoe kidney, transplanted kidney
        • ประวัติ stones ที่มีผลให้ poor outcome เช่น extractions, stents, double J stent, lithotripsy
        • ตรวจร่างกายจะไม่มี signs ของ peritonitis แต่อาจมี rebound tenderness, guarding, rigidity ได้
        • ในเด็ก ~25% จะมาด้วย painless hematuria


        DDxโรคที่อาจมาด้วย flank pain +/- hematuria ได้แก่
        • GI: acute intestinal obstruction, diverticulitis, appendicitis, biliary colic, acute mesenteric ischemia
        • GU: blood clot obstruction จาก kidney bleeding (renal cell carcinoma), pyelonephritis
        • GYN: ectopic pregnancy, rupture/torsion ovarian cyst, dysmenorrhea
        • Vascular: aortic aneurysm
        • Others: herpes zoster, drug-seeking


        Ix:
        • Bedside US: สามารถช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว ดู hydronephrosis +/- stone; ดู AAA ช่วยในการ DDx โดยเฉพาะในคนอายุ > 50 ปี
        • Low-radiation dose CTเป็น imaging of choice ซึ่งสามารถบอกขนาด ตำแหน่ง และจำนวนของนิ่วได้ ยกเว้นใน  pregnancy (ให้ทำ US) หรือ BMI > 30, BW > 130 kg ในผู้ชาย, > 115 kg ในผู้หญิง (ให้ทำ standard-dose CT)
        • CT KUB NC ในกรณีที่ไม่สามารถทำ low-radiation dose ได้
          • Stone compositionอาจบอกได้จาก stone density (Hounsfield), appearance, และ location; การใช้ dual energy CT (DECT) สามารถบอก composition ได้ดียิ่งขึ้น
        • USเป็น imaging of choice ใน pregnancy หรือพิจารณาเป็น second line imaging แทน standard-dose CT เพื่อหลีกเลี่ยง radiation ในที่ที่ไม่สามารถทำ low-dose CT ได้
        • UA:พบ RBC > 3/HPF จะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย มี 10-30% ที่ไม่พบ hematuria;UPT, +/- UC ถ้ามี UTI ร่วมด้วย
        • Cr

        **pregnancyถ้าทำ US แล้วไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ ควรปรึกษา obstetrician และurologist เพื่อพิจารณาทำ endovaginal US (ดู ureteral jet, resistive indices), low-dose CT, MRI

        Tx:
        • Pain control พบว่าถ้าให้ NSAIDs + opioid จะดีกว่าให้อย่างเดียว (เช่น IV ketorolac 15 mg + IV morphine 5 mg); metoclopramide
        • Fluid replacement (ไม่มีบทบาทในเรื่อง stone passage หรือ pain)
        • Medical expulsive therapy (MET)ใน ureteral stone > 5 mm และ < 10 mm โดยให้tamsulosin 0.4 mg PO OD (first line) หรือ nifedipine XL 30 mg PO OD ได้นานถึง 4 สัปดาห์
        • Consult urologistใน urosepsis, AKI, anuria, intractable pain
        • ATB ถ้ามี UTI
          • Critically ill หรือ urinary tract obstruction ให้ antipseudomonal carbapenam + vancomycin
          • IPD ให้ ceftriaxone, piperacillin-tazobactam, หรือ fluoroquinolone
          • OPD ให้ ciprofloxacin 500 mg PO BID, levofloxacin 750 mg PO OD x 5-7 วัน และนัดดูอาการ 48-72 ชั่วโมง หรือถ้าเสี่ยงต่อ MDR gram-negative UTI (เช่น nursing home, prior ATB) แนะนำให้ IV ertapenam (เป็น daily dose หรือให้ PO fluoroquinolone ต่อ)


        Disposition
        • Admit ในรายที่ intractable pain หรือ vomiting, urosepsis, single/transplanted kidney, AKI, medical comorbidity, large stone
        • D/C ให้สังเกตอาการภาวะแทรกซ้อน ปัสสาวะใส่ที่กรองเพื่อเก็บนิ่วมาตรวจทางพยาธิวิทยา และนัด F/U urologist โดยเฉพาะในรายที่ stone > 10 mm หรือ fail MET โดยเฉพาะถ้า stone > 4 mm หรือ uncontrolled pain


        คำแนะนำทั่วไปได้แก่ ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน ให้มีปัสสาวะ > 2.5 ลิตร/วัน ลดเกลือและโปรตีนจากสัตว์ กิน Ca ตามปกติ (การงด Ca ทำให้ oxalate ถูกดูดซึมมากขึ้น เพราะจับกับ Ca ในลำไส้น้อยลง) กินผัก ผลไม้ ช่วยเพิ่ม citrate ได้ (inhibitory substances)

        Ref: Tintinalli ed8th, Up-to-Date

        การพัฒนาการกระบวนการดูแลและความปลอดภัยของผู้ป่วย (Process Improvement and Patient Safety)

        $
        0
        0
        การพัฒนาการกระบวนการดูแลและความปลอดภัยของผู้ป่วย (Process Improvement and Patient Safety)

        ความผิดพลาด (error) ในห้องฉุกเฉินมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปรากฏตัวของผู้ป่วยจนกระทั่งกลับบ้านหรือรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ความผิดพลาดที่เกิดจากแผนกฉุกเฉินแม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นความผิดพลาดที่ป้องกันได้ทั้งสิ้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นความผิดพลาดจากระบบ (system failure) มากกว่าเป็นความผิดพลาดส่วนบุคคล (human error) ซึ่งอาจขัดกับความรู้สึกที่มักจะโทษว่าเป็นความผิดของคนนั้นๆก่อน เช่น มีการศึกษาพบว่าแพทย์ฉุกเฉินโดนขัดจังหวะทุก 6นาที ทำให้ต้องเปลี่ยนไปทำหลายอย่าง หรือปัญหาจากที่แพทย์ต้องสื่อสารกับบุคคลอื่นมากเกินไป   

        ปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในห้องฉุกเฉินสามารถแบ่งได้เป็น
        1. ปัจจัยภายในคือ ปัจจัยที่ปกติเป็นธรรมชาติของการทำงานในห้องฉุกเฉินมักจะแก้ไขโดยตรงไม่ได้ แต่อาจหาวิธีเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแทน เช่น ผู้ป่วยมีความหลากหลาย ต้องคิดวิเคราะห์มาก ต้องการการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มีโอกาสให้ผิดพลาดน้อย มีสิ่งรบกวนมาก ต้องหาโรคอันตรายที่พบได้น้อยแต่มีอาการเหมือนโรคที่ไม่อันตราย (low signal-to-noise ratio) ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน (surge phenomena)
        2. ปัจจัยภายนอกมักเป็นปัจจัยที่เกิดจากทรัพยากรมีจำกัด (เงิน คน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีปฏิบัติงาน เวลา) ต้องการการบริหารจัดการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้แก


        การออกแบบห้องฉุกเฉินให้เหมาะสมกับการทำงาน (Emergency Department Design, Ergonomics)
        ปัญหาจากปัจจัยด้านสถาปัตยวิศวกรรมที่ไม่ได้ออกแบบพื้นที่มาเพื่อการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินโดยเฉพาะ เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ต่างๆไม่ได้ติดตั้งให้สอดคล้องกับพื้นที่และการใช้งาน เครื่องมืออุปกรณ์ระหว่างแผนกทำงานไม่สอดคล้องกันเช่น เครื่องวัดความดันโลหิตไม่สามารถต่อใช้งานได้กับแผนกอื่น หรือความผิดพลาดจากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง ไม่สามารถปรับฟอร์มคำสั่งการรักษาที่กำหนดตายตัวได้ ไม่ได้ตรวจสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังเริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ


        คนไข้ล้น (Overcrowding)
        ปัญหาคนไข้ล้นห้องฉุกเฉินส่งผลต่อคุณภาพการรักษาผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องรอพบแพทย์นานขึ้น บางคนไม่รอตรวจ ส่งผลทำให้ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ การที่คนไข้มากๆทำให้แพทย์ตรวจเร็วมากขึ้น สรุปการวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็วโดยใช้ความรู้สึก สามัญสำนึก(Heuristic) มากกว่าจะใช้วิธีการวินิจฉัยตามปกติ ซึ่งผลลัพธ์อาจจะไม่ถูกต้องทำให้เกิดความผิดพลาดได้ อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ED crowding


        ข้อมูลสูญหาย (Information Gaps)
        ปัญหาเรื่องข้อมูลของผู้ป่วย เช่น ไม่มีสรุปข้อมูลระหว่างนอนรพ.ไม่มีรายละเอียดของประวัติอดีต ใบส่งตัวผู้ป่วยมาไม่ถึงมือแพทย์หรือใบส่งตัวขาดข้อมูลที่สำคัญ ทำให้แพทย์ฉุกเฉินต้องทำงานภายใต้ข้อมูลที่มีไม่สมบูรณ์ ในเวลาที่จำกัด หรือจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง


        การฝ่าฝืนระเบียบมาตรฐาน (Violation-Producing Factors)
        เดิมทีมองว่าการฝ่าฝืนกฎระเบียบหรือนโยบายเป็นสิ่งที่ต้องไม่เกิดขึ้น แต่ในมุมมองสมัยใหม่ด้านการสร้างความปลอดภัยชี้ให้เห็นว่าการฝ่าฝืนกฎระเบียบหรือนโยบายจริงๆแล้วก็มีความจำเป็นเพราะแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถรับมือได้ดีหรือไม่ เช่น ปัญหาความสะเพร่า การติดยา ปัญหาศีลธรรม พฤติกรรมแย่ๆส่วนบุคคล และ
        มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้ามไปก็คือ normalization of devianceหรือการปล่อยปละละเลยให้การกระทำบางอย่างซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานเกิดขึ้นจนเป็นความเคยชิน เช่น คนไข้ล้นห้องฉุกเฉินจึงปล่อยให้มีการตรวจคนไข้ตามทางเดินจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาจเกิดจากคนที่มีอำนาจไม่ได้ให้ความสำคัญเช่น แพทย์ลงเวรก่อนเวลาแต่หัวหน้าแพทย์ไม่ได้สนใจ หรือไม่สั่งทำ ECG เพราะเตียงนอนไม่พอปัจจัยอื่นๆเช่น การทำผิดตามๆกันมา อ้างว่าเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ ความมั่นใจที่มากหรือน้อยเกินไป โอกาสที่จะจับได้เมื่อทำความผิด ด้านอารมณ์ที่ไม่คงที่ก็มีผลเช่น ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะชอบเสี่ยงมากกว่าและมีแนวโน้มที่จะฝ่าฝืนกฎมากกว่าผู้หญิง


        การทำงานร่วมกัน (Teamwork)
        แพทย์ฉุกเฉินมักไม่ได้ถูกฝึกให้ทำงานเป็นทีม ปัจจัยที่พบมากที่สุดที่ทำให้เกิดความผิดพลาดก็คือ การขาด Cross-monitoring (การคอยช่วยตรวจสอบงานของคนอื่น คอยช่วยงานคนอื่น) และความรู้สึกเป็นหน้าที่รับผิดชอบของทุกคนในทีมในการดูแลผู้ป่วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นความเป็นมืออาชีพในการทำงาน


        การใช้อำนาจการตัดสินใจอย่างเหมาะสม (Authority Gradients)
        ในสังคมมนุษย์มีการจัดลำดับอำนาจเสมอ เช่น การจัดลำดับตามความอาวุโส ตามตำแหน่งหน้าที่ (Subspecialty > specialty > GP > nurse >..) สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการดูแลผู้ป่วยได้ ถ้าคนอื่นๆในทีมไม่กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเองต่อคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่า สิ่งนี้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าควรแสดงให้เห็นว่าความเห็นของทุกคนมีคุณค่า ลดความหยิ่งยโส ลดความเผด็จการ ส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็น ทำตนให้เข้าถึงได้ง่ายโดยอาจจะเล่าประสบการณ์ของตนเองในการตัดสินใจผิดพลาดหรือเกือบวินิจฉัยไม่ได้ให้ฟัง  


        จุดอ่อนของความคิดและอารมณ์ (Cognitive and Affective Limitations)
        เมื่อมีสิ่งเร้าเกิดขึ้น มนุษย์เกิดการรับรู้ และตอบสนองเป็นความคิด ความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ในกระบวนการนี้เรียกว่าอคติทางความคิด (Cognitive bias) เช่น การยึดติดกับความเชื่อบางอย่าง การพยายามหาหลักฐานเพื่อสนับสนุนความคิดของตนเอง เป็นต้น  
        การวินิจฉัยโรคผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินบางครั้งก็ชัดเจนเช่น laceration, fracture, dislocation แต่บางครั้งก็คลุมเครือเช่น ไข้ เจ็บหน้าอก ปวดหัว ปวดท้อง เป็นลม เหมือนการต่อจิ๊กซอว์โดยนำข้อมูลที่กระจัดกระจายมาจัดกรอบใหม่ ปัญหาก็คือการวินิจฉัยผิดพลาดมักเกิดจากอคติทางความคิดเสมอๆ (การคิดว่าการวินิจฉัยผิดพลาดเป็นอคติทางความคิดก็อาจเป็นอคติทางความคิดอย่างหนึ่ง- hindsight bias -)  นอกจากนี้เรื่องภาวะทางอารมณ์ยังมาเกี่ยวข้องด้วยเรียกว่า Visceral bias คือการใช้อารมณ์ความรู้สึกต่อผู้ป่วยมีผลต่อการตัดสินใจ เช่น มีอคติต่อคนที่ใช้ยาเสพติด อคติต่อคนอ้วน อคติต่อ VIP เป็นต้น   


        การทำงานเป็นกะและความอ่อนล้า (Fatigue and Shift Work)
        ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยจากตัวแพทย์เช่น สุขภาพกาย/ใจ อายุ เหล้า ยา ความรับผิดชอบอื่นๆนอกจากงานบริการ ปัจจัยแวดล้อมเช่น ระยะเวลาในการทำงาน งานหนัก ความเครียด แสง เสียงและอุณหภูมิ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดความอ่อนล้าในการทำงานขึ้น
        นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการต้องทำงานเป็นกะในห้องฉุกเฉิน ซึ่งการทำงานเป็นกะส่งผลต่อสุขภาพค่อนข้างมาก ทำให้รบกวนวงจรการนอน การต้องอยู่เวรดึกทำให้ความสามารถลดลงเท่ากับคนที่มี blood alcohol 0.1% (10 mg/dl) มีผลให้ปฏิกิริยาการตอบสนองช้าลง ง่วงนอน สมาธิลดลง ความจำแย่ลง อารมณ์ไม่ดี ความสามารถทางกายลดลง และไม่ได้มีผลเฉพาะในวันนั้น แต่ยังมีผลในวันถัดๆไปอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น   
        วิธีการช่วยปรับตัวเมื่อต้องทำงานเป็นกะได้แก่
        • จัดเวลาทำงานให้เป็นแบบแผน อยู่เวรดึกต่อกันไม่เกิน 1-2 เวร เวลาต่อเวรไม่เกิน 12 ชั่วโมง หยุด 24-48 ชั่วโมงหลังอยู่เวรดึก
        • เปลี่ยนเวลาทำงานตามเข็มนาฬิกา (clockwise direction)
        • นอนในสภาพแวดล้อมที่ดีได้แก่ มืด เงียบหรือมีเสียง white noise เช่นเสียงพัดลม ปราศจากสิ่งรบกวนอื่นๆ
        • นอนให้เป็นเวลา พยายามหลับเวลาเดิม (anchor sleep) หรือการงีบหลับจะช่วยได้ หลีกเลี่ยงการใช้ยา เหล้าและกาแฟ
        • การดำเนินชีวิตที่เหมาะสม ได้แก่ การกินอาหารให้มีความหลากหลาย ให้ครบ 5หมู่ กินเป็นเวลา หลีกเลี่ยงอาหารขยะ (อาหารที่เน้นแป้ง น้ำตาล ไขมัน) ไฟสว่าง (> 10,000 lux) อย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังตื่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
        • ตกลงจัดสรรเวลากับครอบครัวและเพื่อน อย่าพยายามใช้ชีวิตตอนกลางวันแบบเดิมถ้าต้องทำงานตอนกลางคืน งดประชุมตอนเช้าหรือช่วงเย็นถ้าต้องทำงานกลางคืน และเคารพเวลาของผู้อื่นที่ทำงานตอนกลางคืนเช่นกัน
        จากปัจจัยต่างๆนี้ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าร่วมกับการที่ต้องอดนอนล้วนส่งผลให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ อ่านเพิ่มเติมเรื่อง Physician well-being



        การคัดแยกผู้ป่วย (Triage)
        การคัดแยกผู้ป่วย (Triage) ย่อมมีความผิดพลาดได้เพราะว่า มีความจำกัดทั้งเวลา ข้อมูลและอาการที่มามีความหลากหลาย ซึ่งบางครั้งอาจจะดูเหมือนๆกันทั้งผู้ป่วยหนักและเบา สิ่งที่เกิดขึ้นมีทั้ง undertriage และ overtriage ซึ่งไม่ว่าทางใดก็ล้วนมีผลเสียทั้งสิ้น เช่น undertriage ผู้ป่วยหนักไม่ได้รับการดูแลที่ทันท่วงทีหรือ overtriage ทำให้ใช้ทรัพยากรมากขึ้นก็ส่งผลต่อการดูแลผู้ป่วยในภาพรวมเช่นกัน และระดับในการคัดแยกผู้ป่วยยังส่งผลต่ออคติของผู้ที่ทำการรักษาผู้ป่วยด้วย ปัจจุบันใช้การคัดแยกผู้ป่วยออกเป็น 5 ระดับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ซึ่งพบว่าสามารถลด undertiage ได้ดีที่สุด    


        การทำหัตถการ (Technical Procedures)
        ความผิดพลาดในการทำหัตถการโดยเฉพาะหัตการที่มีความเสี่ยงสูงเช่น cricothyrotomy, pericardiocentesis, endotracheal intubation บางแห่งอาจมีโอกาสได้ทำไม่บ่อย ซึ่งส่งผลต่อความชำนาญของแพทย์ วิธีที่แก้ปัญหา เช่น การซ้อมในสถานการณ์จำลองแต่ก็จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์และทรัพยากรบุคคลจึงจะได้ผล    


        การตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์(Laboratory)
        ความผิดพลาดในการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์ประกอบด้วย 3 ระยะได้แก่ 1.Preanalytic errorsส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาการเก็บ specimen ทั้งปัญหาเทคนิคการเก็บ เวลา การระบุชนิดของ specimen และการระบุผู้ป่วย 2.Analytic errorsคือกระบวนการตรวจ 3.Postanalytic errorsคือช่วงการบอกผลการตรวจ ทั้งการลงผลผิด ข้อมูลหาย ข้อมูลไปไม่ถึงแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่ความผิดพลาดจะเกิดในระยะpreanalytic และ postanalytic 


        การเอ็กซเรย์ (Radiology)
        ปัญหารังสีวินิจฉัยในห้องฉุกเฉินได้แก่ ปัญหาการวินิจฉัยผู้ป่วยผิดคน ผิดข้าง การออกผลช้า แต่ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือการอ่านผลฟิล์มเอ็กซเรย์ผิดของแพทย์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะ CT scan ปัจจุบันมี PAC system ในการอ่านฟิล์ม ความผิดพลาดจากการอ่านฟิล์มสามารถลดลงได้โดยให้มีรังสีแพทย์อ่านฟิล์มร่วมด้วยในเวลาที่เหมาะสมและทั้งสองฝ่ายเห็นสอดคล้องกัน  


        การส่งต่อผู้ป่วย (Transitions in Patient Care)
        การส่งต่อผู้ป่วยทั้งจากระหว่างแพทย์ฉุกเฉินเปลี่ยนเวรกันหรือระหว่างแผนก ไม่ใช่เฉพาะการส่งต่อข้อมูลทางการแพทย์เท่านั้น แต่เป็นการส่งต่อความรับผิดชอบและความเป็นเจ้าของไข้ในการรักษาอีกด้วย ข้อดีของการเปลี่ยนเจ้าของไข้ต่อผู้ป่วยก็คือ แพทย์ได้ทบทวนประวัติของผู้ป่วยอีกครั้ง รวมถึงได้คิดใหม่ทำใหม่อีกครั้งอาจทำให้ได้มุมมองที่ต่างออกไป
        สิ่งที่ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการส่งต่อผู้ป่วยได้แก่
        • ถูกขัดจังหวะระหว่างส่งเวร เช่นมีโทรศัพท์หรือคนพูดขัดจังหวะขณะส่งเวร ทำให้ข้อมูลบางส่วนอาจหายไป
        • ไม่ใช้รูปแบบการส่งเวรที่เป็นมาตรฐานทำให้ข้อมูลขาดตกบกพร่องไป รูปแบบมาตรฐานโดยทั่วไปได้แก่ เริ่มจาก chief complaint ประวัติ ตรวจร่างกาย ผล lab การวินิจฉัยและแผนการรักษา
        • ข้อมูลบางอย่างเช่นว่าเป็นคนเร่ร่อน คนที่มีปัญหาจิตเวช คนติดเหล้า คนใช้ยาเสพติด ข้อมูลพวกนี้บางครั้งทำให้เกิดอคติได้จึงควรระวังเป็นพิเศษ


        ผู้ป่วยขาดเจ้าของไข้ (Orphaned Patients)
        ผู้ป่วยมักจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของแพทย์เช่น ระหว่างรอที่จุดคัดกรอง ระหว่างรอพบแพทย์ บางคนก็กลับไปก่อนที่จะได้พบแพทย์ บางครั้งก็ถูกหลงลืมไประหว่างการเปลี่ยนเวร ระหว่างถูกส่งไปเอ็กซเรย์หรือไปตรวจอื่นๆ หรือถูกละเลยไประหว่างการรอปรึกษาข้ามแผนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเตียงเต็ม ทำให้ผู้ป่วยที่รับการตรวจแล้วและตัดสินใจรับตัวไว้ในรพ.แต่ต้องนอนรอเตียงกันเป็นปริมาณมากและได้รับการดูแลน้อยกว่าที่ควรโดยคนที่ไม่รู้อาการโดยละเอียด ซึ่งการรอที่นานขึ้นอาจจะทำให้อาการเปลี่ยนแปลงแย่ลงได้  


        ยา (Medications)
        ความผิดพลาดที่พบได้เยอะที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับยา ซึ่งอาจเกิดได้ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งใน 6ขั้นตอนได้แก่ prescription, transcription, dispensing, administration, monitoring และ dischargeความผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับห้องฉุกเฉิน เช่น ห้องฉุกเฉินหลายแห่งทำหน้าที่จ่ายยาเองแทนที่จะเป็นหน้าที่ของห้องยา เขียนใบสั่งยาผิด อ่านลายมือแพทย์ไม่ออก ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสารทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างเช่น ได้ยาไม่ครบ ยาผิดตัว ได้ยาซ้ำซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเด็กที่ต้องได้ยาตามน้ำหนักตัว ความพยามในการลดความผิดพลาดเช่น ให้มีเภสัชกรอยู่ในทีมการรักษา การสั่งยาทาง computer ใช้ bar code สามารถลดความผิดพลาดจากการให้แพทย์เขียนใบสั่งยาได้    


        สรุป
        การสร้างความปลอดภัยในห้องฉุกเฉินเปรียบได้กับการรบกับสงครามกองโจร ซึ่งอาจจะไม่สามารถชนะได้อย่างเด็ดขาด(แต่อาจจะแพ้เป็นครั้งคราว) ซึ่งการพัฒนาความปลอดภัยในห้องฉุกเฉินนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด ต้องอาศัยการลงทุน และความพยายามอย่างต่อเนื่องให้เกิดการทำงานด้วยระบบที่ออกแบบมาอย่างดีและมีระบบแวดล้อมคอยสนับสนุน

        **บทความนี้จะเป็นการชี้ถึงปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดความผิดพลาดเกิดขึ้น ส่วนวิธีการแก้ไขป้องกันอาจจะใช้วิธีต่างๆร่วมกัน เช่น การใช้ patient flow team เป็นต้น


        Ref: Rosen’s Emergency Medicine ed8th

        Dengue virus infection

        $
        0
        0
        Dengue virus infection
        WHO 2009 ได้แบ่งประเภทของ dengue ออกเป็น
        1. Dengue without warning signsคือ มีประวัติอยู่ใน endemic area + ไข้+ 2/5 (คลื่นไส้/อาเจียน,ผื่น,ปวดศีรษะ/ปวดตา/ปวดกล้ามเนื้อ/ปวดข้อ, leukopenia, positive tourniquet test)
        2. Dengue with warning signsคือ สงสัย dengue infection (ข้างต้น) + สัญญาณเตือน ดังนี้
        สัญญาณเตือน (warning signs)ในการเข้าสู่ critical phase ได้แก่
        • ปวดท้อง หรือ กดเจ็บ
        • อาเจียนต่อเนื่อง
        • เซื่องซึม กระสับกระส่าย
        • เลือดออกจากเยื่อบุต่างๆ (เลือดกำเดา เลือดออกไรฟัน)
        • ตับโต > 2 cm หรือกดเจ็บ
        • Fluid accumulation (ascites, pleural effusion)
        • Hct เพิ่มขึ้นร่วมกับ platelet ลดลงอย่างรวดเร็ว

              3. Severe dengueคือ มีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังนี้
        • Severe plasma leakage ได้แก่ PP < 20 mmHg, poor capillary perfusion (มือเท้าเย็น tachycardia, delayed capillary refill), shock, fluid accumulation with respiratory distress
        • Severe bleeding
        • Severe organ impairmentเช่น liver มี AST หรือ ALT > 1,000; CNS ซึม เป็นต้น
        **เดิม WHO 1997ได้แบ่งออกเป็นdengue fever, dengue hemorrhagic fever (fever + plt < 100,000 + plasma leakage), dengue shock syndrome (weak + rapid pulse, PP < 20 mmHg หรือ hypotension)

        อาการและอาการแสดงของโรค
        Dengue infection ในเด็กส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย พบได้ประมาณ 10% ของเด็กที่มาด้วยไข้เฉียบพลัน แต่ในผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงกว่าในเด็ก และพบว่า second infection หรือการติดเชื้อสายพันธ์อื่นหลังจากที่เคยเป็น (first infection) มาก่อนจะมีอาการรุนแรงกว่า

        ระยะฟักตัวโดยปกติประมาณ 4-7 วัน (ได้ตั้งแต่ 3-14 วัน)

        Dengue infection แบ่งออกเป็น 3ระยะคือ febrile phase, critical phase และ recovery phase


        Febrile phaseผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีไข้สูงเฉียบพลัน (> 38.5oC) ร่วมกับมีอาการอื่นๆได้แก่ หน้าแดง ตัวแดง ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดหัว ปวดกระบอกตา สู้แสงไม่ได้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจจะมีเจ็บคอ คอแดงได้ ระยะเวลาที่มีไข้ประมาณ 3-7 วัน และพบ biphasic (“saddleback”) fever ได้ประมาณ 5%

        อาจพบเลือดออกผิดปกติได้ตั้งแต่ในระยะนี้ เช่น spontaneous petechiae/ecchymosis (50%), hematemesis (15-30%), menorrhagia (40%), melena (5-10%), epistaxis (10%)

        ตรวจ CBC สิ่งทีจะพบเป็นอันดับแรก คือ WBC ลดลง และมักพบ AST, ALT สูงขึ้น 2-5 เท่าของค่าปกติ (อาจสูงได้ถึง 5-15 เท่า)

        Critical phaseในระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง (T 37.5-38oC)ในผู้ป่วยที่ไม่มี capillary permeability เพิ่มขึ้นจะสามารถเข้าสู่ระยะ recovery phase โดยไม่ผ่าน critical phase
        ในรายที่มี capillary permeability เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการแย่ลงช่วงวันที่ 3-7 ของโรคจะมี warning signs ดังกล่าวข้างต้น

        ตรวจ CBC มักพบ WBC ลดลง (< 5,000) ตามด้วย platelet จะลดลงอย่างรวดเร็ว (< 100,000) ก่อนที่จะมี plasma leakage ทำให้ Hct เพิ่มขึ้นจาก hemoconcentration ที่เพิ่มขึ้น

        การทำ imaging ช่วยวินิจฉัยภาวะ plasma leakage ได้ ได้แก่ การทำ US เพื่อหา pleural effusion, peritoneal fluid (มักพบหลังให้ IVF), gall bladder wall edema; CXR lateral decubitus ascitesเพื่อดู pleural effusion

        ในผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความรุนแรงของ plasma leakage ไม่เท่ากัน ใน severe dengue จะเริ่มจากการที่มี pulse pressure แคบ (SBP-DBP < 20 mmHg) แล้วเข้าสู่ภาวะ shock ได้อย่างรวดเร็ว เกิด metabolic acidosis, DIC, progressive organ impairment เช่น severe hepatitis, encephalitis, myocarditis, ARF และอาจจะพบว่า WBC สูงขึ้นจากภาวะ stress เช่น severe bleedingได้

        ในผู้ป่วย severe dengue จะมีภาวะ coagulopathy แต่ไม่รุนแรงขนาดที่ทำให้เกิด major bleeding ได้ ยกเว้นผู้ป่วยมี profound shock ร่วมกับ thrombocytopenia, hypoxia, acidosis นำไปสู่ MOF และ advanced DICหรือในรายที่ใช้ NSAIDs, aspirin หรือ corticosteroid

        Recovery phaseหลังจาก critical phase 24-48 ชั่วโมง จะมีการ reabsorption ของ fluid กลับจาก extravascular compartment เป็นระยะเวลาประมาณ 48-72 ชั่วโมง อาการโดยรวมจะดีขึ้น อยากอาหาร ไม่มีอาการปวดท้อง ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน สัญญาณชีพปกติ ปัสสาวะออกมาก คันตามตัว มีผื่นแดงตามตัว ตรวจ CBC พบ WBC เพิ่มขึ้น หลังจากนั้น platelet จึงค่อยๆเพิ่มขึ้น

        ในรายที่ได้ IV fluid ปริมาณมากอาจจะทำเกิด massive pleural effusion, ascites, pulmonary edema หรือ CHF เกิดขึ้นในระยะนี้ได้


        ซักประวัติได้แก่
        • จำนวนวันที่มีไข้
        • ซักประวัติ I/O ได้แก่ ปริมาณน้ำที่กิน จำนวนและความถี่ในการปัสสาวะ เวลาที่ปัสสาวะล่าสุด ประวัติท้องเสีย
        • ซักประวัติสัญญาณเตือนในการเข้าสู่ critical phase เช่น ปวดท้อง หรือ กดเจ็บ อาเจียนต่อเนื่อง เซื่องซึม กระสับกระส่าย เลือดออกจากเยื่อบุต่างๆ (เลือดกำเดา เลือดออกไรฟัน)
        • ซักประวัติเพื่อวินิจฉัยแยกโรค
        ตรวจร่างกายได้แก่
        • ดู Hemodynamic, hydration status, mental status
        • ดู sign ของ plasma leakage (quiet tachypnea, acidotic breathing, pleural effusion, abdominal tenderness, hepatomegaly, ascites)
        • ดู peripheral perfusion ต้องจับ pulse volume ดู capillary refill สัมผัสดูอุณหภูมิและสีของแขนขา
        • ดู sign ของ bleeding, tourniquet test ถ้าไม่มี bleeding manifestation

        วินิจฉัยแยกโรคดูเรื่อง undifferentiated feverเช่น viral hemorrhagic fever อื่นๆ, Chikungunya, Zika, malaria, typhoid, leptospirosis, Parvovirus B19, acute HIV, viral hepatitis, rickettsial infection, sepsis เป็นต้น

        ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปวดท้องมาก อาจตรวจเจอ guarding/rebound tenderness ที่ right iliac fossa ได้ ซึ่งสามารถแยกจาก surgical abdomen ได้โดยผู้ป่วยมีประวัติไข้ก่อนปวดท้อง ร่วมกับมี hemoconcentration และ thrombocytopeniaทำให้สงสัย dengue infection และหลังจากให้ IV fluid bolus 5-10 mL/kg ใน 1 ชั่วโมงจะทำให้อาการปวดท้องหายไปได้

        Investigation
        • CBC ควรตรวจเมื่อมาพบแพทย์ครั้งแรก และตรวจซ้ำทุกวัน (หรือจะตรวจซ้ำที่ d3 หรือมี warning sign ก็ได้) จนกระทั้งผ่าน critical phase โดยการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มจาก WBC ลดลง (< 5,000)
        • Dengue-specific laboratory tests เพื่อยืนยันการวินิจฉัยก็มีความจำเป็น ในกรณีที่ไม่มี plasma leakage หรือเพื่อวินิจฉัยแยกโรคได้แก่dengue NS1 antigen(ช่วง viremia ไข้ d1-5), anti-dengue IgM (หลังมีไข้ d3-5 (sensitivity 50%) d6-10 (sensitivity 95-98%) ตรวจพบจนกระทั้ง 1-3 เดือนหลังมีไข้), dengue-specific IgG(ตั้งแต่ d9-10 อยู่หลายสิบปี)
        • BUN, Cr, electrolytes, LFTs, glucose, lactate, cardiac enzymes, ECG, urine sp.gr, G/M PRC (โดยเฉพาะ severe dengue) ถ้ามีข้อบ่งชี้


        Management
        • แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันโรคต่อไป ระวังไม่ให้ยุงกัด
        • พิจารณาว่า dengue อยู่ใน phase ใดและมี warning sign หรือไม่ สามารถแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3กลุ่ม group A,B,C ดังนี้
        Group A:ไม่มี warning sign และไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง(ได้แก่ infancy, pregnancy, old age, obesity, DM, peptic ulcer, hemolytic anemia, poor social support) 

        กลุ่มนี้ให้ตรวจ CBC ไว้เป็น baseline และให้ดูอาการที่บ้านได้
        • แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ
        • ดื่มน้ำให้เพียงพอ > 5 แก้วต่อวันในผู้ใหญ่ (เช่น นม ORS น้ำผลไม้ น้ำข้าว น้ำมะพร้าว)ให้ปัสสาวะอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อวัน และจดบันทึก I/O
        • กินยา Paracetamol เมื่อมีไข้สูงครั้งละ 10 mg/kg วันละไม่เกิน 3-4 ครั้งต่อวัน ไม่เกิน 3gm/d และเช็ดตัวถ้ายังมีไข้สูง; ห้ามใช้ NSAIDs, aspirin และห้ามให้ยา IM
        • แนะนำสังเกต warning signsได้แก่
          • เลือดออก (ผิวหนัง เลือดกำเดา ไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ประจำเดือนมามาก)
          • อาเจียนหลายครั้ง ไม่สามารถดื่มน้ำได้เพียงพอ
          • ปวดท้องมาก
          • ซึม สับสน ชัก
          • มือ เท้าเย็น ซีด
          • หายใจลำบาก
          • เวียนศีรษะเมื่อลุกนั่ง/ยืน
          • ไม่ปัสสาวะ 4-6 ชั่วโมง
        • นัดดูอาการทุกวันตั้งแต่ไข้ > 3วัน


        Group B: คือกลุ่มที่ควรรับไว้ในรพ.เพราะต้องสังเกตอาการใกล้ชิด แบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่
        1. กลุ่มที่ไม่มี warning signs แต่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้แก่ infancy, pregnancy, old age, obesity, DM, HT, heart failure, renal failure, chronic hemolytic disease หรือมีปัญหาเรื่อง social supportกลุ่มนี้ให้กระตุ้นให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้าไม่สามารถทำได้ให้ NSS หรือ RLS +/- glucose IV maintenance (ถ้าเป็นคนอ้วนให้คิดจาก ideal BW) เมื่อผู้ป่วยเริ่มดื่มน้ำได้ ให้ปรับ rate IV ลง โดยให้ปริมาณน้อยที่สุดที่ทำให้ good perfusion และปัสสาวะออกเพียงพอ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 24-48 ชั่วโมง
        Ideal body weight for overweight or obese adults
        Height (cm)
        IBW for adult male
        IBW for adult females
        150
        50
        45.5
        160
        57
        52
        170
        66
        61.5
        180
        75
        70

              2. กลุ่มที่มี warning signs หรือ signs of dehydrationกลุ่มนี้ถ้าให้ IV fluid อย่างเหมาะสมตั้งแต่ในระยะแรกสามารถลดความรุนแรงของโรคได้
        • ให้ตรวจ Hct ไว้เป็น baseline ก่อนให้ IV fluid
        • ให้เฉพาะ isotonic solution (NSS, RLS, Hartmann’s solution) โดยให้ rate IVF เริ่มต้นตาม Hctดังนี้
          • ถ้า Hct เพิ่ม < 10% ให้ 1-1.5 mL/kg/h ในเด็ก หรือ 25 mL/h ในผู้ใหญ่
          • ถ้า Hct เพิ่ม 10-19% ให้ 1.5 mL/kg/h ในเด็ก หรือ 40 mL/h ในผู้ใหญ่
          • ถ้า Hct เพิ่ม >20% ให้ 3-7 mL/kg/h ในเด็ก หรือ 80-250 mL/h ในผู้ใหญ่
        • ให้ IVF 1-2 ชั่วโมงแล้วประเมินBP, HR, PP, RR, skin turgor, skin temp ซ้ำ
          • ถ้า V/S แย่ลง ให้ 10% dextran-40 in NSS (ถ้าไม่มีให้ crystalloid) 10 mL/kg/h ในเด็ก (500 mL/h ในผู้ใหญ่)แล้วประเมินซ้ำในอีก 1-2 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ manage เหมือน dengue shock ดูหัวข้อ profound shock ด้านล่าง
          • ถ้า V/S ดีขึ้น ให้ปรับ IVF ลงเป็นขั้นๆ(ตาม rate IVF เริ่มต้น) ในช่วงเวลา 24-48 ชั่วโมง ดังนี้ ร่วมกับการ monitor เป็นระยะ
            • 7 mL/kg/h ในเด็ก (200-250 mL/h ในผู้ใหญ่) นาน 1-2 ชั่วโมง
            • 5 mL/kg/h ในเด็ก (120-150 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 4-6 ชั่วโมง
            • 3 mL/kg/h ในเด็ก (80-100 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 6-12 ชั่วโมง
            • 1.5 mL/kg/h ในเด็ก (40 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 4-6 ชั่วโมง
        • Monitor จนกระทั่งไข้ลง 24-48 ชั่วโมง V/S, Hct, urine output
          • วัด V/S ทุก 2-3 ชั่วโมง
          • Hct ทุก 4-6 ชั่วโมง
          • Urine output ทุก 4-8 ชั่วโมง keep U.O. 0.5-1 mL/kg/h


        Group C: คือกลุ่ม severe dengue(ดังตารางข้างต้น)กลุ่มนี้ต้อง admit ในรพ.ที่สามารถให้ blood transfusion ได้ การรักษากลุ่มนี้คือการให้ IV fluid อย่างรวดเร็วเพื่อรักษา effective circulation ช่วงที่มี plasma leakage (ไม่เกิน 48 ชั่วโมง) และต้องการ fluid resuscitation (IV bolus ไม่ใช่ IV drip) เป็นช่วงๆภายใต้การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อทำให้ central และ peripheral circulation ดีขึ้น และ end-organ perfusion ดีขึ้น
        1. กลุ่ม Compensated shock: (normal SBP, narrow PP, tachycardia, cool extremities, weak pulse, capillary refill > 2 s)
        • ให้ตรวจ Hct ไว้เป็น baselineก่อนให้ IV fluid
        • ให้ isotonic crystalloid 10 mL/kg/h x 1-2 ชั่วโมง แล้วประเมิน consciousness, BP, HR, PP, RR, skin turgor, skin temp ซ้ำ
          • ถ้า V/S แย่ลง ให้ตรวจ Hct ซ้ำ
            • ถ้า Hct เพิ่มขึ้น ให้ 10% dextran-40 in NSS (ถ้าไม่มีให้ crystalloid) 10 mL/kg/h ในเด็ก (500 mL/h ในผู้ใหญ่)แล้วประเมินซ้ำในอีก 1-2 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ manage เหมือน dengue shock ดูหัวข้อ profound shock ด้านล่าง
            • ถ้า Hct ลดลง ให้หาตำแหน่ง bleedingให้ fresh whole blood 10 mL/kg (หรือ ตาม estimated blood loss) ถ้ามีภาวะ fluid overload ให้ PRC 5 mL/kg/dose แล้วตรวจ Hct ซ้ำ ถ้า Hct แย่ลงหรือไม่ดีขึ้นให้ transfusion ซ้ำ ถ้า Hct ดีขึ้นให้ค่อยๆลด rate IVF ลง
          • ถ้า V/S ดีขึ้น ให้ปรับ IVF ลงเป็นขั้นๆ ในช่วงเวลา 24-48 ชั่วโมง ดังนี้ ร่วมกับการ monitor เป็นระยะ
            • 7 mL/kg/h ในเด็ก (200-250 mL/h ในผู้ใหญ่) นาน 1-2 ชั่วโมง
            • 5 mL/kg/h ในเด็ก (120-150 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 4-6 ชั่วโมง
            • 3 mL/kg/h ในเด็ก (80-100 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 6-12 ชั่วโมง
            • 1.5 mL/kg/h ในเด็ก (40 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 4-6 ชั่วโมง
        • Monitor จนกระทั่งไข้ลง 24-48 ชั่วโมง V/S, Hct, urine output
          • วัด V/S อย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง
          • Hct ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้าสงสัย bleeding ให้ตรวจ Hct อย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง
          • Closely monitor intake/output

             2.  กลุ่ม Profound shock
        • ให้ IV resuscitation ด้วย crystalloid, blood product, หรือ10% dextran-40 in NSS bolus 20 mL/kg ใน 15 นาที (แนะนำ colloid โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ PP < 10) แล้วประเมิน consciousness, BP, HR, PP, RR, skin turgor, skin temp ซ้ำ
          • ถ้า V/S แย่ลง ให้ตรวจ Hct ซ้ำ
            • ถ้า Hct เพิ่มขึ้น ให้ 10% dextran-40 in NSS (ถ้าไม่มีให้ crystalloid) 10 mL/kg/h ในเด็ก (500 mL/h ในผู้ใหญ่)แล้วประเมินซ้ำในอีก 1 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นพิจารณาทำ hemodialysis, peritoneal dialysis, หรือ plasmapheresis; ถ้าดีขึ้นให้ 10% dextran-40 in NSS ต่ออีก 1 ชั่วโมง จึงค่อยๆลด rate IVF ลง
            • ถ้า Hct ลดลง ให้หาตำแหน่ง bleedingให้ fresh whole blood 10 mL/kg (หรือ ตาม estimated blood loss) ถ้ามีภาวะ fluid overload ให้ PRC 5 mL/kg/dose แล้วตรวจ Hct ซ้ำ ถ้า Hct แย่ลงหรือไม่ดีขึ้นให้ transfusion ซ้ำ ถ้า Hct ดีขึ้นให้ค่อยๆลด rate IVF ลง
          • ถ้า V/S ดีขึ้น ให้ปรับ IVF ลงเป็นขั้นๆ ในช่วงเวลา 24-48 ชั่วโมง ดังนี้ ร่วมกับการ monitor เป็นระยะ
            • 7 mL/kg/h ในเด็ก (200-250 mL/h ในผู้ใหญ่) นาน 1-2 ชั่วโมง
            • 5 mL/kg/h ในเด็ก (120-150 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 4-6 ชั่วโมง
            • 3 mL/kg/h ในเด็ก (80-100 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 6-12 ชั่วโมง
            • 1.5 mL/kg/h ในเด็ก (40 mL/h ในผู้ใหญ่)นาน 4-6 ชั่วโมง
        • Monitor จนกระทั่งไข้ลง 24-48 ชั่วโมง V/S, Hct, urine output
          • วัด V/S ทุก 15 นาทีจนอาการคงที่ หลังจากนั้นทุก 1 ชั่วโมง
          • Hct ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้าสงสัย bleeding ให้ตรวจ Hct อย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง
          • Closely monitor intake/output (urine output ทุก 1 ชั่วโมง)
          • ประเมินอาการทุก 1-2 ชั่วโมง ดู mental status; คอยดูว่า pleural effusion และ ascites ซึ่งจะมีหลังให้ IV fluid ว่ามีผลต่อการหายใจหรือไม่


        Hemorrhagic complicationกลุ่มเสี่ยงได้แก่ profound/prolonged/refractory shock, MOF, severe/persistent metabolic acidosis, Hx NSAIDs, Hx peptic ulcer, Hx anticoagulant, Hx trauma/IM injection, hemolytic conditions
        • พยายามหยุดเลือดในบริเวณที่หยุดได้ เช่น nasal adrenaline packing ใน severe epistaxis
        • ให้ fresh PRC 5-10 mL/kg หรือ whole blood 10-20 mL/kgใน rate ที่เหมาะสม
        • การให้ FFP, cryoprecipitate, platelet ไม่สามารถแก้ภาวะ coagulopathy ได้ แต่อาจพิจารณาให้platelet ในรายที่ platelet < 10,000 + active bleeding
        • Vitamin K IV ในรายที่มี severe liver dysfunction หรือ prolonged PT
        • ระวังในการทำหัตถการต่างๆเช่น NG/foley’s catheter ให้ lubricate ให้เพียงพอ การใส่ central venous catheters ให้ใช้ ultrasound guidance
        • สิ่งสำคัญคือให้เลือดเฉพาะในรายที่ severe bleeding ซึ่งการให้เลือดโดยไม่จำเป็นทำให้ Hct ขึ้นสูง สับสนกับ hemoconcentration จาก plasma leakage ได้
        การรักษาอื่นๆ
        • Hyperkalemiaสัมพันธ์กับ severe metabolic acidosis และ acute renal injury ปกติจะหายเองหลัง resuscitation แต่ถ้า life-threatening hyperkalemia ให้รักษาเหมือน hyperkalemia ปกติ
        • Metabolic acidosisส่วนใหญ่เกิดจาก lactic acidosis ไม่แนะนำให้แก้ด้วย NaHCO3 IV ถ้า pH > 7.1 ให้รักษาโดยการให้ fluid resuscitation และ blood transfusion ถ้าสงสัย severe bleeding หรืออาจเกิดจากการให้ NSS ปริมาณมาก กลุ่มนี้จะมี lactate level ปกติ ถ้า serum chloride ขึ้น ให้เปลี่ยน IV เป็น RLS หรือ Hartmann’s solution แทน
        Dual infectionมีการรายงานในผู้ใหญ่ พบว่ามี bacteremia ร่วมด้วยได้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้สงสัยได้แก่ การที่มีไข้นาน > 5 วันและมี acute renal failure ร่วมด้วย

        Hemolytic diseaseกลุ่มนี้ได้แก่ sickle cell anemia, thalassemia, HS, G-6-PD deficiency เป็นต้น กลุ่มนี้ต้องตรวจหา marker ของ hemolysis เช่น hemoglobinuria, low haptoglobin และกลุ่มนี้อาจจะมี baseline Hct ต่ำทำให้ไม่เห็นภาวะ hemoconcentration ชัดเจน และ ถ้าสงสัยมี significant hemolysis ต้องให้ hydration ให้เพียงพอและพิจารณาให้ PRC เพื่อ ป้องกันภาวะ acute renal injury

        Dischargeได้เมื่อไข้ลงอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือ 2 วัน ถ้ามีภาวะ shock ร่วมกับอาการดีขึ้น มีความอยากอาหาร ปริมาณปัสสาวะ และ Hctกลับมาเป็นปกติ



        Non-technical skills

        $
        0
        0
        Non-technical skills
        • ความปลอดภัยคือ การควบคุมและรักษาสภาวะที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียต่อบุคคลและทรัพย์สินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ การลงทุนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต้องไม่มากเสียจนทำให้องค์กรล้มละลาย หรือไม่น้อยเกินไปจนเกิดหายนะจากอุบัติเหตุ ระดับที่เหมาะสมนี้ เรียกว่าเป็น safety space หรือ พื้นที่ปลอดภัย
        • ในการทำงานบ่อยครั้งเกิดความผิดพลาด (error)ขึ้น ซึ่งอาจเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ เช่น การเผอเรอ (slip) หรือการลืม (lapse) หรือเป็นความผิดพลาดที่ตั้งใจ เช่น เกิดจากความเข้าใจผิด (mistake) ซึ่งเกิดจากการขาดความรู้ หรือ จากการฝ่าฝืน (violation) ซึ่งอาจเกิดจากผู้ปฏิบัติเห็นว่าวิธีของตนดีกว่าแนวทางปฏิบัติขององค์กร เป็นต้น
        • ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเรียกว่า สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ (undesired state) นำไปสู่อุบัติการณ์ (incident) หรือ อุบัติเหตุ(accident)
        • เรามีหน้าที่วิเคราะห์ สอบสวนว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีปัจจัยอะไรอยู่เบื้องหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เรียกว่า ภัยคุกคาม (threat)อาจเป็นปัจจัยภายนอก หรือ ปัจจัยภายใน เช่น ความเหนื่อยล้า ความเครียด สภาพร่างกายและจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน
        • ในการวิเคราะห์หาปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดพลาดนี้ นอกจากความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติ (active failure)แล้ว เราต้องพยายามแยกแยะหาสาเหตุของระบบ หรือ ปัญหาที่แฝงเร้น (latent failure)อยู่ด้วย ซึ่งระบบที่ทำงานเป็นปกตินั้นควรที่จะต้องสามารถป้องกันการทำงานผิดพลาดของผู้ปฏิบัติได้
        • มนุษยปัจจัย (Human factors)กล่าวถึงการที่มนุษย์มีข้อจำกัดหลากหลายประการ ทั้งข้อจำกัดทางการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น หรือกาย ล้วนถูกจำกัดด้วยอิทธิพลของสภาพแวดล้อม หรือจากตัวบุคคลเอง เช่น อายุ สุขภาพ ความอ่อนล้า การอดนอน ความเครียด ยา หรือสารเสพติด เป็นต้น และข้อจำกัดจากการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับคน หรือ คนกับคู่มือ/กฎระเบียบ หรือ คนกับอุปกรณ์/เครื่องมือ เป็นต้น จึงมีการนำความรู้เรื่องข้อจำกัดเหล่านี้ไปออกแบบอุปกรณ์และขั้นตอนการปฏิบัติที่เหมาะสมกับมนุษยปัจจัย เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรือ ที่เรียกว่า Human factors engineering design เช่น ออกแบบอุปกรณ์/ผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการใช้งาน ออกแบบระบบบันทึก การทำ checklist การตั้งสัญญาณเตือนในระดับที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป เป็นต้น


         Non-technical skillsหรือ อาจเรียกว่าทักษะการคิด ชีวิต และสังคมเป็นทักษะที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจากการทำงาน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและการจัดการภายในทีม โดยมีทักษะที่น่าสนใจ ได้แก่
        • การตระหนักสถานการณ์ (Situation awareness)
        • การตัดสินใจในเวชปฏิบัติ (Clinical decision making)
        • การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
        • การสื่อสาร (Communication)
        • ภาวะผู้นำ (Leadership)
        • การจัดการความเครียดและความเหนื่อยล้า (Stress and fatigue management)


        การตระหนักสถานการณ์ (Situation awareness)
        • คือ การรับรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัว นำมาคิดวิเคราะห์ แล้วคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น
        • การให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีความถูกต้องและครบถ้วน ควรทำแบบมีแบบแผน เช่น
          • Standard operation procedure (SOP)เช่น แนวทางปฏิบัติการจัดการอุบติภัยหมู่ แนวทางปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยเสียเลือดมาก เป็นต้น
          • Checklistมี 2 ประเภท คือ 1) Read and Do checklist ใช้เมื่อเจอปัญหาเพื่อให้สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เช่น anaphylaxis shock checklist; 2) Do then Read ใช้ในงานปกติที่ทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืนยันว่าไม่มีขั้นตอนใดถูกละเลยไป เช่น time out ก่อนผ่าตัด
          • Briefingคือ การบรรยายสรุปก่อนการทำงานใดงานหนึ่ง เพื่อให้ทีมมีความเข้าใจและคาดการณ์สถานการณ์ได้ตรงกัน
          • Team situation awarenessคือ การสร้างบรรยากาศในองค์กรที่คนอยากแบ่งปันการตระหนักสถานการณ์ของตนเองกับผู้อื่น นำความเสี่ยงมาเล่าสู่กันฟังอย่างสะดวกใจ และทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
        • ข้อควรระวังในการตระหนักสถานการณ์ คือ อคติที่เกิดขึ้นในการรับรู้และการเลือกรับข้อมูล เช่น คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อสมมติฐานแรก (primary effect) และ พยายามตีความข้อมูลใหม่ๆให้สอดคล้องกับมุมมองของตนเอง หรือ กรองข้อมูลใหม่ๆที่ขัดแย้งกับความเชื่อของตนเองทิ้งไป เรียกว่า อคติจากการเลือกรับข้อมูล (confirmation bias) เป็นต้น


        การตัดสินใจในเวชปฏิบัติ (Clinical decision making)
        • เป็นกระบวนการต่อเนื่องในการวิเคราะห์ทางเลือก พิจารณาว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใด ซึ่งมีปัจจัยรบกวนหลายอย่าง เช่น การได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลมากหรือน้อยเกินไป การขาดประสบการณ์ ขาดอุปกรณ์ ความอ่อนล้าจากการทำงาน ความคาดหวังของผู้ป่วย ญาติ หรือของเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
        • Dual process theoryคือ ทฤษฎีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล จะมีการผสานการคิดสองระบบเข้าด้วยกัน คือ แบบช้าและแบบเร็ว ขึ้นกับแต่ละสถานการณ์เพื่อให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
          • Intuitiveเป็นการคิดอย่างรวดเร็ว ในรูปแบบของ pattern recognition จะใช้ความรู้ที่มี สัญชาติญาณ และประสบการณ์ ข้อดี คือ ทำได้อย่างรวดเร็วและใช้ความพยายามน้อย แต่ข้อเสีย คือ ขาดความระแวดระวัง อาจเกิดการด่วนสรุป นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
          • Analyticเป็นการคิดช้าๆ มีการพิจารณาทางเลือกต่างๆ ข้อดีข้อเสีย ความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ในแต่ละทางเลือก และทำการประเมินผลก่อนเริ่มการตัดสินใจครั้งใหม่ ข้อดี คือ มีการคิดอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลมาก ใช้อารมณ์น้อย แต่ข้อเสีย คือ ช้า และต้องใช้ความพยายามมาก


        การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
        • หัวหน้าทีม
          • คนในทีมที่มีความสามารถเพียงพอให้เสนอตัวเป็นผู้นำ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการทำงาน
          • ทำการกำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในทีม
          • สื่อสารให้สมาชิกรับรู้สถานการณ์และมีความเข้าใจตรงกัน
          • มีการกำหนดเป้าหมายและวางแผนการทำงาน
          • สังเกตการณ์ทำงานและปรับเปลี่ยนแผนได้ตามสถานการณ์ที่เผชิญ
          • สร้างบรรยากาศการทำงานเป็นทีม  รับฟังเหตุผล
        • สมาชิกทีม
          • รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
          • ทราบข้อจำกัดของตนเอง ไม่รั้งรอที่จะขอความช่วยเหลือ
          • ช่วยกันสังเกตการณ์การทำงานของกันและกัน และช่วยเหลือกันเมื่อเกิดปัญหา
          • ช่วยกันแก้ปัญหา ช่วยกันวางแผน และสามารถท้วงติงกันได้อย่างสร้างสรรค์
        • มีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพคือ การสื่อสารที่กระชับ ชัดเจน และถูกต้อง เหมาะสมกับเวลาและโอกาส มีการสั่งและรับการรักษาได้อย่างถูกต้อง เช่น การทวนคำสั่ง (Closed-loop communication), ISBAR
        • ให้เกียรติและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน(Mutual respect) แก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์


        การสื่อสาร (Communication)
        • เนื้อความของสาร ต้องมีความชัดเจน กระชับ และถูกต้อง(3C: Clear, Concise, Correct) รวมถึง การใช้อวัจนภาษา ได้แก่ สีหน้า แววตา การเคลื่อนไหว ท่าทาง ลักษณะของเสียง จะช่วยเพิ่มน้ำหนักของคำพูด รวมถึงแสดงความเป็นคนมีมารยาท แต่ต้องระวังไม่ทำให้เกิดการแปลความหมายผิดไปได้
        • Assertivenessคือ การสื่อสารที่ผู้สื่อสารไม่เพียงการถ่ายทอดข้อมูลเท่านั้น ยังสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้กับผู้อื่น และแสดงจุดยืนของตนเองบนเหตุผล โดยไม่ก้าวร้าว มักใช้ในสถานการณ์เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า ได้แก่ การยืนยันสิ่งที่พูด การพูดซ้ำ การใช้ประโยคที่ขึ้นด้วย “I massage” การใช้น้ำเสียงแสดงความมั่นใจ ตัวอย่างเช่น ใน ER พยาบาลโทรแจ้งแพทย์เพราะอยากให้มาประเมินผู้ป่วยซ้ำ ดังนี้
          • สถานการณ์แรก พยาบาล หมอสมชายคะ ขณะนี้คนไข้ความดันโลหิต 90/60 มม.ปรอท ชีพจร 120 ครั้งต่อนาทีหมอ งั้นเพิ่ม rate IV เป็น 120 mL/h แล้ว admit ได้สรุปว่าเคสนี้แพทย์ไม่ได้มาดูผู้ป่วยซ้ำ
          • สถานการณ์ที่สอง พยาบาล หมอสมชายคะ ขณะนี้คนไข้ความดันโลหิต 90/60 มม.ปรอท ชีพจร 120 ครั้งต่อนาที หนูอยากให้อาจารย์ช่วยมาดูผู้ป่วย [I massage]” หมอ งั้นเพิ่ม rate IV เป็น 120 mL/h แล้ว admit ได้พยาบาล หนูคิดว่าผู้ป่วยความดันตก อยู่ในภาวะช็อค ต้องมีการประเมินหาสาเหตุและ resuscitation ค่ะ หนูอยากให้หมอมาช่วยดูแลค่ะ” [ยืนยันสิ่งที่ต้องการ และอธิบายปัญหาให้ชัดเจน]
        • ทักษะการฟังระดับการตั้งใจฟังแบ่งออกเป็นหลายระดับ โดยส่วนมากผู้ที่คิดว่าเป็นผู้ฟังที่ดีมักจะอยู่ในระดับผู้ฟังเนื้อความ (technical listener) เท่านั้น คือ เข้าใจเนื้อหา แต่ไม่ได้วิเคราะห์ถึงความรู้สึก หรือสิ่งที่ผู้พูดต้องการ ซึ่งเป็นทักษะการฟังที่สูงขึ้น เรียกว่า ผู้ฟังอย่างตั้งใจ (active-listener) ซึ่งต้องมีทักษะย่อย ดังนี้
          • การตั้งใจฟัง (attending skill)ได้แก่ มีการสบสายตา (eye contact) ไม่นั่งเขย่าขา ควงปากกา เอามือเคาะโต๊ะ เป็นต้น
          • การติดตามการฟัง (following skill) ช่วยให้ผู้พูดพูดต่อด้วยความสบายใจ เช่น การพูดอืม” “จริงเหรอ  เล่าต่อซิ” “แล้วยังไงต่อร่วมกับการถามแต่พอดี ในบางครั้งต้องมีทักษะการเงียบ (attentive silence) เพื่อแสดงว่าเราตั้งใจฟัง และคิดตามสิ่งที่พูด
          • การสะท้อนความรู้สึก (reflecting skill) โดยการจับความรู้สึกของผู้พูด หรือการจับประเด็นสำคัญแล้วสะท้อนออกมาเป็นคำพูดของเราเอง
        • เครื่องมือที่ช่วยให้ในการสื่อสารมีประสิทธิภาพ เช่น pre-task brief (สรุปกิจกรรมก่อนลงมือปฏิบัติ), debrief (การทบทวนกิจกรรมหลังลงมือปฏิบัติ), ISBAR, patient hand-overs, closed loop communicationเป็นต้น
          • ISBAR(Introduction, Situation, Background, Recommendation) ตัวอย่างสถานการณ์ในห้องคลอด หมอค่ะ พี่พิสมัยจากห้องคลอดนะคะ รายงานเคสคุณสำลี (I) ตอนนี้มีภาวะตกเลือดหลังคลอด 2000 ซีซี (S) ผู้ป่วย G4P3 term คลอดปกติ บุตรหนัก 4,000 กรัม (B) ตอนนี้ผู้ป่วยมีอาการหน้ามืดใจสั่น ความดันโลหิต 90/60 มม.ปรอท ชีพจร 110 ครั้งต่อนาที หายใจ 20 ครั้งต่อนาทีO2 sat 98% คลำหน้าท้องมดลูกไม่แข็งตัว (A) พี่อยากให้หมอมาดูผู้ป่วยตอนนี้เลยค่ะ (R)”
          • Patient hand-overs หรือ การส่งเวร ควรส่งแบบ face-to-face communication เวลาเดียวกันในแต่ละครั้ง สถานที่ใกล้ที่ทำงานมากที่สุด มีเสียงรบกวนน้อย ใช้รูปแบบการส่งที่มีแบบแผน เช่น SBAR ส่งต่อผ่านการสนทนาที่มีการจดบันทึก อาจให้ผู้รับเวรอ่านบันทึกการส่งข้อมูลให้อีกฝ่ายฟัง และซักถามข้อสงสัย (read it back)
          • Closed loop communicationคือ ผู้ส่งสารส่งสารออกมา (call out)ผู้รับสารแสดงการรับรู้สารนั้น (check back) และผู้ส่งสารยืนยันการรับรู้ของผู้รับสาร (closed loop) เช่น แพทย์ [call out] “สมศรี ให้ adrenaline 1 mg IV แล้วตามด้วย NSS 20 mL IV push” พยาบาล [check back]  รับทราบค่ะ จะให้ adrenaline 1 mg IV แล้วตามด้วย NSS 20 mL IV push” แพทย์ [closed loop] “ถูกต้องครับ


        ภาวะผู้นำ (Leadership)
        • มีหลายทฤษฎีที่กล่าวถึงภาวะผู้นำ ซึ่งในการทำงานให้ได้ผลดีอาจต้องประสานหลายๆแนวคิดเข้าด้วยกัน เช่น
          • ทฤษฎีคุณลักษณะ (Trait theory)กล่าวว่าผู้นำต้องมีคุณลักษณะทั้งทางกายภาพ และสภาวะจิตใจที่เหมาะสม เช่น มีความรู้ มีประสบการณ์ มีความมั่นใจ คุมสติได้เวลาเครียด บริหารจัดการเก่ง การสื่อสารดี
          • ทฤษฎีพฤติกรรม (Behavioral theory)กล่าวถึงสไตล์ของผู้นำสองประเภท คือ แบบมุ่งให้งานสำเร็จ (task-oriented) และแบบมุ่งเน้นบุคลากรร่วมทีม (people-oriented) จะมีการสังเกต รับฟัง กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ และสอนงานแก่สมาชิกในทีม
          • ทฤษฎีสถานการณ์ (Situational theories)คือ ผู้นำต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์ บางครั้งต้องเด็ดขาดฉับไว บางครั้งต้องรับฟังอย่างรอบคอบโดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถและความมุ่งมั่นของสมาชิก เช่น ถ้าสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนหรือสมาชิกที่ยังมีความสามารถน้อยก็ใช้การสั่งแบบบอกให้ทำ (telling)ถ้าสถานการณ์คงที่ แต่สมาชิกขาดความตั้งใจหรือความมุ่งมั่น อาจใช้วิธีเสนอความคิด (selling)คือ บอกเป้าหมาย แล้วกระตุ้นให้หาวิธีปฏิบัติเอง เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม หรือให้มีส่วนร่วมตัดสินใจ (participating)แต่ถ้าสมาชิกมีทั้งความรู้ดี และมีความมุ่งมั่นทุ่มเทก็มอบหมายงาน (delegating)คือ ผู้นำเพียงระบุปัญหา แล้วให้สมาชิกตัดสินใจและวางแผนเอง
          • ทฤษฎีมีส่วนร่วม (shard leadership theory)คือ การกระจายภาวะผู้นำสู่สมาชิกทุกคน โดยการสร้างบรรยากาศให้ทุกคนกล้าที่จะทำ assertiveness แลกเปลี่ยนความคิดเห็น กำกับดูแลเพื่อนร่วมทีม กล้าที่จะทักท้วงเมื่อการปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐาน


        การจัดการความเครียดและความเหนื่อยล้า (Stress and fatigue management)
        ความเครียด (stress)
        • เป็นผลจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา กับสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด (stressor) ซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกถูกคุกคาม (threaten) ซึ่งเราจะรู้สึกถูกคุกคามก็ต่อเมื่อเรื่องนั้นเกินขีดความสามารถหรือทรัพยากรที่มีอยู่
        • ความเครียดในระดับที่เหมาะสม (eustress) จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน แต่ความเครียดที่มากขึ้นจะส่งผลให้ทำงานผิดพลาดมากขึ้น บุคลิกภาพและอารมณ์เปลี่ยนไป ขาดสมาธิ ความสามารถในการจัดการลดลง การจัดลำดับความสำคัญผิด การขาดความละเอียดรอบคอบ การละเว้นหรือการบกพร่อง เป็นต้น
        • ผลกระทบของความเครียดต่อร่างกาย เช่น ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หายใจถี่ เหนื่อยหอบ ปวดท้อง เป็นต้น และผลกระทบต่อจิตใจ เช่น ความโกรธ ฉุนเฉียว อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย ขาดความสนใจ เป็นต้น นอกจากนี้ความเครียดยังสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงาน (burnout) อีกด้วย
        • การจัดการกับความเครียด แบ่งเป็น
          • Primary prevention โดยการกำจัดสาเหตุของความเครียด เช่น การเพิ่มความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ การจัดหาทรัพยากรให้เพียงพอ
          • Secondary prevention โดยฝึกรู้จักกับอารมณ์ของตนเอง อาจบอกให้เพื่อนร่วมงานทราบถึงความกังวลหรือความเครียดที่เกิดขึ้น จัดการกับความคิดตนเอง ปรับกรอบความคิด มองโลกในแง่ดี ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
          • Tertiary preventionทำการฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังเกิดเหตุการณ์ ให้คำปรึกษา
        การเหนื่อยล้า (fatigue):ศึกษาเพิ่มเติมจากบทความ physician well-being
        • มักเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และการทำงานเป็นกะ ซึ่งส่งผลรบกวนการคิด การเคลื่อนไหวของร่างกาย ประสิทธิภาพการทำงาน และทำให้อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น




        การสอนทักษะ (Teaching Non-technical skills)
        เป้าหมายของการสอนก็เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพฤติกรรมนั้น ซึ่งก็คือ ทัศนคติโดยผู้สอนต้องทำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด ไตร่ตรอง จนกระทั่งตระหนักถึงปัญหาได้ด้วยตนเอง
        การสอนมี 3 ระยะ คือ
        1. การประเมินสถานการณ์พิจารณาเรื่องที่จะสอน โดยอาจดูจาก รายงานอุบัติการณ์ การสอบถาม หรือ การสังเกตในสถานการณ์จริง
        2. การจัดการสอน
        • วิธีการสอนมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การถ่ายทอดข้อมูลให้โดยตรง (information-based) การสอนผ่านกรณีศึกษา อาจแสดงบทบาทสมมติ แล้วทำการวิเคราะห์ วิจารณ์ (demonstration-based) และการสอนโดยให้ลงมือกระทำ (practice-based) เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม การทำสถานการณ์จำลองเสมือนจริง
        • ทักษะของผู้สอน ได้แก่ การตั้งคำถาม การฟังอย่างตั้งใจ ไม่ด่วนตัดสิน และการบริหารจัดการห้องเรียน เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์
        • การตั้งคำถามของผู้สอน แนะนำให้ใช้เทคนิค facilitationคือ การให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยผู้สอนกระตุ้นให้คิด สามารถแบ่งลำดับของความซับซ้อนของคำถาม คือ 1) การถามเพื่อทดสอบความรู้ ความจำ (remember), 2)เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ (understand), 3) ให้ตีความหมายและประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ (apply), 4) วิเคราะห์ปัญหา (analyses), 5) วิพากษ์กรณีศึกษา (evaluate), 6) การออกแบบใหม่ (create) เช่น การคิดว่าจะพูดประโยคสื่อสารกับทีมใหม่อย่างไร
      • การประเมินผลแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ
        • ประเมินการตอบสนอง (reaction) ควรทำทันที เช่น ดูความพึงพอใจ การเห็นคุณค่า
        • การเรียนรู้ (learning) เช่น การทำ pre-/post-test สามารถวัดความรู้และทัศนคติได้
        • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (behavior) คือ การได้นำไปใช้จริง ทำการติดตามหลังการสอนไประยะหนึ่ง
        • ผลลัพธ์ (result) ดูว่าการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่
        ระบบสนับสนุนการเรียนการสอนต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กร และผู้บริหาร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกับของบุคลากรหลายสาขา (inter-professional education) เป็นจริงขึ้นมาได้

        การทบทวนความรู้โดยทั่วไปยังไม่มีการกำหนดไว้ชัดเจน แต่ในวงการบินจะอบรมทบทวนทุก 1 ปี

        Ref: กษณา รักษมณี. Non-technical skills 2561

        การป้องกันการติดเชื้อในห้องฉุกเฉิน

        $
        0
        0

        การป้องกันการติดเชื้อในห้องฉุกเฉิน ได้แก่
        • Hand hygiene
        • Standard precaution
        • Transmission-based precautions
        • Healthcare personnel vaccination
        • Environment controls


        ลดจำนวนเชื้อบนมือของบุคลากรทางการแพทย์ (hand hygiene)มี 2 วิธี คือ การถูมือด้วยแอลกอฮอล์ (alcohol-bases hand sanitizer) และการล้างมือด้วยน้ำและสบู่
        • การถูมือด้วยแอลกอฮอล์ (alcohol-based hand sanitizer)เป็นวิธีที่แนะนำ เพราะเป็นวิธีที่ลดจำนวนแบคทีเรียได้ดีที่สุด ไม่ทำให้มือแห้งหรือทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง โดยถูให้ทั่วมือจนรู้สึกแห้งจะใช้เวลาประมาณ 20 วินาที
          • ทำทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสกับผู้ป่วย หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วย
          • ก่อนทำหัตถการปราศจากเชื้อ (เช่นใส่สายต่างๆ)หรือทำ invasive procedure
          • ระหว่างที่ต้องย้ายจากตำแหน่งที่สกปรกไปตำแหน่งที่สะอาดบนตัวผู้ป่วย
          • หลังสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวจากร่างกายของผู้ป่วย
          • หลังจากถอดถุงมือทุกครั้ง
        • การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้เปิดน้ำล้างให้มือเปียกก่อน แล้วใส่ผลิตภัณฑ์ล้างมือตามคำแนะนำของผู้ผลิต ถูมือและนิ้วจนทั่วอย่างน้อย 15 วินาที ล้างมือให้สะอาด ใช้กระดาษเช็ดมือเช็ดให้แห้ง แล้วใช้กระดาษเช็ดมือนั้นปิดก๊อกน้ำ
          • ทำเมื่อเห็นว่ามือสกปรก ก่อนกินอาหาร และหลังจากเข้าห้องน้ำ
          • หลังจากดูแลผู้ป่วยที่สงสัยท้องเสียติดเชื้อ
          • หลังสงสัยว่าสัมผัสกับสปอร์ของเชื้อ B. anthracis, C. difficile
        • เมื่อต้องใส่ถุงมือ ให้ล้างมือก่อนและหลังใส่ถุงมือ และเปลี่ยนถุงมือเมื่อฉีกขาด เปื้อนเลือดหรือของเหลวจากร่างกายของผู้ป่วย หรือระหว่างที่ต้องย้ายจากตำแหน่งที่สกปรกไปตำแหน่งที่สะอาดบนตัวผู้ป่วย
        • ใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงเพื่อป้องกันไม่ให้มือแห้งจากการต้องล้างมือบ่อยครั้ง
        • ไม่ไว้เล็บยาวเกิน 1/4 นิ้ว ไม่ติดเล็บปลอม และไม่ควรใส่แหวน
        • การล้างมือก่อนผ่าตัด ให้ถอดนาฬิกา แหวน กำไลข้อมือออก แปรงทำความสะอาดใต้เล็บ แล้วล้างมือด้วยสบู่ที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ ถูมือถึงแขนช่วงล่างระยะเวลาตามที่ผู้ผลิตแนะนำ (ประมาณ 2-6 นาที)หรือถูมือด้วย alcohol-based sanitizer ที่ออกฤทธิ์นาน (ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ที่ไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อก่อน)
        • มีแผนการส่งเสริมให้เกิด hand hygiene มีการตรวจสอบและควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน บุคลากรสามารถเข้าถึง alcohol-bases sanitizerได้ง่ายเช่น อยู่หน้าห้องผู้ป่วย อยู่ข้างเตียง หรือมีขนาดพกพาติดตัว



        การป้องกันที่ใช้กับผู้ป่วยทุกราย (standard precaution)ประกอบด้วย
        • Hand hygiene(ดูด้านบน)
        • Glovesใช้เมื่อสัมผัสกับของเหลวจากร่างกายผู้ป่วย (ยกเว้นเหงื่อ)หรือสัมผัสกับเยื่อบุต่างๆของผู้ป่วย
        • Gownใช้ระหว่างทำหัตถการ และเมื่อผิวหนังหรือเสื้อผ้าต้องสัมผัสกับของเหลวจากร่างกายผู้ป่วย
        • Mask, eye protection (goggles), face shieldใช้ระหว่างทำหัตถการที่อาจมีของเหลวจากร่างกายผู้ป่วยกระเด็น หรือกระจายเป็นละอองฝอย เช่น suctioning, endotracheal intubation; ในรายที่สงสัย aerosol transmitted disease ให้ใส่ N95 ระหว่างทำหัตถการ
        • Respiratory hygiene/cough etiquetteต้องทำตั้งแต่จุดแรกที่เข้ามารพ.(โต๊ะต้อนรับ จุดคัดกรอง) โดยคนที่สงสัยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือเมื่อไ/จามให้ปิดปาก/จมูกด้วยทิชชู ใส่ surgical mask และเมื่ออยู่บริเวณพื้นที่รอตรวจให้เว้นระยะห่าง > 3 ฟุตจากบุคคลอื่น; บุคลากรที่ติดเชื้อทางเดินหายใจควรใส่ mask และไม่ควรสัมผัสผู้ป่วยโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เสี่ยงติดเชื้อ
        • Safe injection practicesใช้ aseptic technique (เช่น ไม่ใส่เข็มที่ใช้แล้วใน multiple-dose vial หรือ solution container) ไม่สวมปลอกเข็มกลับ ไม่งอเข็ม หรือจับเข็ม ถ้าต้อง recap ให้ใช้ one-hand scoop technique และใส่เข็มหรือของแหลมคมที่ใช้แล้วในภาชนะที่เตรียมไว้; เลือกใช้ยาชนิด single-dose vial แทน multiple-dose vials
        • แยกผู้ป่วยไว้ห้องเดี่ยวในรายที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ มีโอกาสปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม หรือไม่สามารถรักษาสุขลักษณะที่ดีได้ หรือผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ


        การป้องกันเพิ่มเติมเมื่อทราบวิธีการแพร่กระจายเชื้อ (transmission-based precaution)***ดู CDC isolation precautionได้แก่
        • Contact precautionให้ผู้ป่วยอยู่ห้องเดี่ยว (ถ้ามีแต่ห้องรวมต้องห่างจากผู้อื่น > 3 ฟุต)บุคลากรให้สวม gown และ gloveก่อนเข้าห้องและถอดก่อนออกจากห้อง ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น เมื่อเคลื่อนย้ายให้คลุม/ปิดส่วนที่ติดเชื้อ
          • ได้แก่ Gastroenteritis (C. difficile, Novovirus, Rotavirus), infectious wound, bronchiolitis, viral conjunctivitis, hepatitis A, primary/severe HSV, human metapneumovirus, impetigo, head lice, multidrug-resistant organisms, parainfluenza, poliomyelitis, infected pressure ulcer, RSV, scabies, Staphylococcal disease)
        • Droplet precautionให้ผู้ป่วยอยู่ห้องเดี่ยว (ถ้ามีแต่ห้องรวมต้องห่างจากผู้อื่น > 3 ฟุต และมีม่านกั้น)บุคคลากรให้ใส่ surgical mask เมื่อเข้าห้อง และให้ผู้ป่วยสวม surgical mask เวลาเคลื่อนย้ายออกนอกห้อง
          • ได้แก่ diphtheria, epiglottitis, influenza, meningitis, meningococcal disease, mumps, pneumonia (Mycoplasma, Adenovirus, H. influenza b), Parvovirus B19, pertussis, plague, Rhinovirus, Rubella, Streptococcal infection, viral hemorrhagic fever จาก Ebola (ร่วมกับ contact precaution )
        • Airborne precautionให้ผู้ป่วยอยู่ใน airborne infection isolation room (AIIR) คือ ห้องที่มีระบบจัดการอากาศที่ได้มาตรฐาน (เช่น negative pressure, 12 air exchanges per hours, HEPA filter) บุคลากรใส่ N95 (ใน TB) หรือ surgical mask (ใน chickenpox, herpes) ก่อนเข้าห้อง
          • ได้แก่ HZV (ร่วมกับcontact precaution), measles, SARS (ร่วมกับ contact และ droplet precaution), smallpox (ร่วมกับ contact precaution), TB, avian influenza


        ฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากร
        • ได้แก่ hepatitis B, measles, mumps, rubella, pertussis, varicella, seasonal influenza


        การจัดการสิ่งแวดล้อม **ดู CDC disinfection and sterilization; environmental infection control
        • จัดการกับอุปกรณ์และผ้าที่เปื้อนด้วยความระมัดระวังไม่ให้เชื้อกระจายไปสู่ผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อม
        • ทำความสะอาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามคำแนะนำของผู้ผลิต หรือยกตัวอย่างเช่น เช็ด stethoscopes, BP cuffs, ventilator, thermometer ด้วย 70% ethyl alcoholส่วนในบริเวณที่ต้องถูกสัมผัสบ่อยๆ หรือทำความสะอาดยาก อาจคลุมด้วยพลาสติกหรือวัสดุอื่นๆที่กันน้ำได้และสามารถถอดทิ้งเมื่อจะใช้กับผู้ป่วยรายต่อไป
        • ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม โดยต้องทำให้เป็นปกติ โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกสัมผัสบ่อยๆเช่น ราวกั้นเตียง ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ ขอบม่าน ให้ทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อบ่อยครั้งกว่าปกติ


        อื่นๆเช่น
        • ลดโอกาสการติดเชื้อจากการใส่สายสวนต่างๆเช่น central venous catheters, endotracheal tubes, urinary catheters โดยพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียในการใส่ เทคนิคการใส่ ตำแหน่งที่ใส่ การทำ hand hygiene และ aseptic technique การดูแลรักษา การเอาสายสวนต่างๆออกเมื่อไม่มีข้อบ่งชี้ ดู catheter-associated urinary tract infection, intravascular catheter-related infection
        • ทำการเพาะเชื้อ (culture) เมื่อมีข้อบ่งชี้ และทำได้ถูกต้อง
        • การให้ ATB ที่เหมาะสมทั้งชนิด ขนาดและระยะเวลาในการให้ยา (Antimicrobial stewardship)ซึ่ง CDC แนะนำให้ทุกร..ทำ “antibiotic stewardship programs” คือการจัดตั้งทีมที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเข้าควบคุมการใช้ ATB



        Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD)

        $
        0
        0

        Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD)
        • NAFLD แบ่งเป็น nonalcoholic fatty liver (NAFL) และnonalcoholic steatohepatitis (NASH)ต่างกันที่ NASH จะมี hepatic inflammation
        • H&P: ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาจมี fatigue, RUQ discomfort; อาจตรวจพบ hepatomegaly
        • Lab: อาจพบ AST, ALT ขึ้น 2-5 เท่าของ ULN และ AST/ALT < 1; ถ้ามี ferritin เพิ่ม > 1.5 เท่าจะสัมพันธ์กับ hepatic fibrosis
        • Imaging: US พบ increased echogenicity, CT พบ decreased hepatic attenuation,หรือ MRI พบ  increased fat signal
        • Dx: พบ hepatic stenosis จาก imaging หรือ biopsy และต้อง exclude สาเหตุอื่น (จากประวัติ)ได้แก่
          • Significant alcohol consumption
          • Hepatitis C (โดยเฉพาะ genotype 3)
          • Wilson disease
          • Lipodystrophy
          • Starvation
          • Parenteral nutrition
          • Abetalipoproteinemia
          • Medications
          • Reye syndrome
          • Acute fatty liver of pregnancy
          • HELLP syndrome
          • Inborn errors of metabolism
        • แนะนำให้ตรวจ lab เพิ่มเพื่อให้สาเหตุอื่น ได้แก่ anti-HCV, anti-HAV IgG, HBsAg, anti-HBc, iron, ferritin, TIBC, gammaglobulin level, ANA, anti-sm, anti-liver/kidney microsomal antibody-1 
        • แนะนำทำ liver biopsy ในรายที่วินิจฉัยไม่ชัดเจน สงสัยหรือเสี่ยงต่อ cirrhosis หรือเพื่อประเมิน inflammation หรือ fibrosis เช่น
          • สงสัย cirrhosis ได้แก่ มี signs ของ chronic liver disease, splenomegaly, cytopenias
          • serum ferritin เพิ่ม > 1.5 เท่า (สงสัย NASH, advanced fibrosis)
          • อายุ > 45ปี + obesity หรือ DM (เสี่ยงต่อ advanced fibrosis)
        • Tx:
          • ให้ hepatitis A และ B vaccine ในรายที่ยังไม่มี immune; ให้ vaccine ที่แนะนำตามอายุ
          • รักษา hyperlipidemia และ DM
          • ถ้า BMI > 25 ให้ลดน้ำหนัก 5-7% (7-10% ใน biopsy-proven NASH) ในอัตรา 0.5-2 กก./สัปดาห์ โดยวิธี life style modification (diet + exercise) ถ้าไม่สำเร็จใน 6 เดือนพิจารณาให้ยา หรือทำ bariatric surgery
          • งดแอลกอฮอล์
          • biopsy-proven NASH + fibrosis stage > 2 w/o DM ให้ vitamin E 800 IU/d
          • biopsy-proven NASH + DM ให้พิจารณาใช้ pioglitazone, liraglutide (หลังจากที่ให้ metformin หรือใช้ metformin ไม่ได้)
        • NALFD ให้ F/U AST, ALT q 3-6 mo หลังจากเริ่มทำ life-style modification และถ้า liver enzyme ไม่ดีขึ้นหลัง weight loss ให้หาสาเหตุอื่น
        • Biopsy-proven NASH ให้ทำ noninvasive assessment (elastography) F/U q 3 y ถ้าลดน้ำหนักไม่สำเร็จหรือ elevated liver enzyme; F/U q 4 yถ้าลดน้ำหนักสำเร็จและ normal liver enzyme
        • NASH-related cirrhosis ให้ทำ HCC screening (US q 6 mo)
        • Refer พบ hepatologist ถ้า AST, ALT ไม่ดีขึ้นหลังน้ำหนักลด > 5%; มีลักษณะ advanced liver disease, steatohepatitis จาก liver biopsy; noninvasive assessment พบ fibrosis stage > F3


        Ref: Up-to-Date

        Exercise-induced anaphylaxis (EIAn)

        $
        0
        0

        Exercise-induced anaphylaxis (EIAn)
        • กลุ่มย่อยของ EIAn คือ Food-dependent, exercise-induced anaphylaxis (FDEIAn) คือ จะเกิดอาการก็ต่อเมื่อออกกำลังกายหลังกินอาหารบางอย่างส่วนใหญ่ภายในเวลา 2 ชั่วโมง
        • H&P: อาการเริ่มแรกจะรู้สึกตัวร้อน คัน มี wheal ขนาด > 10-15 มม. (ต่างจาก cholinergic/heat-induced urticarial จะเป็น wheal เล็กๆ 1-3 มม.) รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรงทันที ถ้ายังออกกำลังกายต่อจะมีอาการอื่นๆของ anaphylaxis เกิดขึ้น เมื่อหยุดออกกำลังกายอาการจะดีขึ้น
        • FDEIAnอาหารที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในคนยุโรป คือ wheat, grains,และ nuts; ในคนเอเชีย คือ wheat, shellfish; บางรายจะเกิดอาการก็ต่อเมื่อมีปัจจัยร่วมเท่านั้น ได้แก่  NSAIDs(24 ชม.), alcohol, premenstrual/ovulatory phase, extreme temperature, seasonal pollen, infection
        • DDx: cholinergic urticaria, primary food allergy, cold-induced urticarial/anaphylaxis, mastocytosis, cardiovascular events, exercise-induced bronchoconstriction, exercise-associated reflux, postural orthostatic tachycardia syndrome
        • Ix: baseline serum tryptase (2-3 วันหลัง attack เพื่อ exclude mastocytosis), food-specific IgE
        • Mx:
          • หลีกเลี่ยงปัจจัยร่วม (ถ้ามี) หรืองดออกกำลังกายเมื่อมีปัจจัยเหล่านั้นอยู่
          • FDEIAnและตรวจพบ IgE ของอาหารที่สงสัย ให้งดอาหารนั้น 4-6 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย (ง่ายสุดคือออกกำลังกายตอนเช้าหลังตื่น)
          • EIAn ให้ทดลองงดอาหาร 4-6 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย ถ้าไม่เกิดอาการกำเริบให้ค่อยๆลดเวลางดอาหารลง ถ้าเกิดอาการขึ้นให้ตรวจ sensitization กับอาหารที่กินก่อนเกิดอาการ
          • Sodium cromolyn 100 mg (เด็ก)และ 200 mg (ผู้ใหญ่)กิน 20 นาที ก่อนอาหาร อาจช่วยป้องกัน FDEIAnในสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการออกกำลังได้
          • H1 antihistamine ใช้ก่อนออกกำลัง หรือใช้ประจำทุกวัน อาจช่วยลดความรุนแรงได้ใน EIAs แนะนำให้ในรายที่เป็นบ่อย อาการรุนแรง หรือถูกกระตุ้นได้ง่าย (เช่น เดินเร็วแล้วกระตุ้น)หรือใน FDEIAn ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารนั้นๆก่อนออกกำลังได้
        • การออกกำลังกาย
          • แนะนำให้ทำเป็นประจำ โดยค่อยๆเพิ่มความหนักและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
          • แนะนำให้ warm-up, ออกกำลังกายพร้อมกับเพื่อนที่สามารถช่วยฉีดยา epinephrine ได้ และพกโทรศัพท์ติดตัวเสมอ
          • เมื่อเริ่มมีอาการต้องหยุดออกกำลังกายทันที ถือ epinephrine ไว้ในมือ และใช้ทันทีเมื่อมีอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือระบบหายใจ (เวียนศีรษะ จุกคอ หายใจลำบาก)


        Ref: Up-To-Date

        Dry eye disease (DED)

        $
        0
        0

        Dry eye disease (DED)
        • เกิดจาก 2 กลไก คือ
          • Decrease tear productionมีการสร้าง aqueous fluid จาก lacrimal gland ลดลง ทำให้เกิด tear hyperosmolarity และเกิด ocular surface inflammation ตามมา สาเหตุ เช่น  Sjögren's syndrome, lacrimal ductal obstruction (age-related DED, conjunctival scarring [trachoma, pemphigoid, vitamin deficiency, post-viral syndrome, ocular burns])   
          • Increased evaporative lossส่วนใหญ่เกิดจาก meibomian gland dysfunction (posterior blepharitis) ซึ่งทำให้ lipid layer ของน้ำตาผิดปกติ ทำให้น้ำตาระเหยไปเร็วขึ้น สาเหตุอื่นๆ เช่น abnormal eyelid position, decrease blink function, topical medication, chronic contact lens wear, ocular allergy syndromes
        • Hx: มีอาการตาแห้ง ตาแดง เคืองตา แสบตา ตามัว สู้แสงไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีเศษในตา น้ำตาไหลมาก (paradoxical excessive tearing)
        • PE: prominent conjunctival vessels, abnormal corneal surface (neovascularization,  opacity/scarring, loss of luster), blepharitis, eyelid malposition (entropion, ectropion), reduced blink rate (< 5/min)
        • Tx:
          • Artificial tearsให้ทุกราย โดยเฉพาะในรายที่มี ocular sensation ผิดปกติ (เช่น diabetic neuropathy) เพื่อป้องกัน ocular damage แนะนำให้เริ่มจาก eye drop QID ถ้ายังมีอาการอาจใช้ถี่ขึ้น แต่ถ้าใช้ > 4-6 ครั้ง/วัน แนะนำชนิดที่เป็น preservative-free
          • Environmental strategiesได้แก่ ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นโดยเฉพาะช่วงที่ต้องใช้สายตา หลีกเลี่ยงเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ ใช้ moisture chamber glasses เพื่อรักษาความชื้นรอบดวงตา

        Moisture chamber glasses; ภาพจาก zienaeyewear.com
          • รักษาสาเหตุ เช่น แก้ไข eyelid abnormality, หยุดยาที่เป็นสาเหตุ, รักษา blepharitis (warm compression +/- topical ATB)
          • Refer ophthalmologist ในรายที่มี neuropathy, uncertain Dx, severe pain, visual loss, abnormal blinking, incomplete eye closure
          • ทางเลือกการรักษาอื่นๆ ได้แก่ topical cyclosporine, topical lifitegrast, scleral contact lenses, punctal occlusion, autologous serum tears, tear stimulation, oral antioxidants (vitamin E, B2, C, zinc, selenium), acupuncture, surgery


        Ref: Up-To-Date

        Urinary incontinence

        $
        0
        0
        Urinary incontinence
        • แบ่งออกเป็น
          • Stress incontinence (เมื่อความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่น ไอ หัวเราะ จะมีปัสสาวะเล็ด)
          • Urgency incontinence (เมื่อปวดปัสสาวะจะอั้นได้ไม่นานแล้วมีปัสสาวะเล็ด)
          • Mixed incontinence (มีอาการทั้งสองอย่าง)
          • Overflow incontinence(ปัสสาวะรั่วออกจากปัสสาวะล้น  ปัสสาวะมักจะออกช้าและไม่แรง)
        • สาเหตุอื่นๆ เช่น GU syndrome of menopause, UTI, urogenital fistula, anatomical urethral diverticula, ectopic ureter, neurological disorders (เช่น spinal cord disorders, stroke, Parkinson, NPH), bladder cancer, invasive cervical cancer, medications, constipation, functional incontinence, cognitive impairment
        • H&P: แยกประเภทของ incontinence รวมถึงหาสาเหตุอื่นๆ ควรตรวจ pelvic examination ในรายที่อาการไม่ตรงไปตรงมา หรือรักษาเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้น
        • Ix: UA, UC (ถ้ามี UTI, hematuria); bladder stress test (เฉพาะใน stress incontinence), postvoid residual (ใน uncertain Dx, สงสัย overflow incontinence)
        • Referในรายที่มีข้อบ่งชี้ ได้แก่  abdominal/pelvic pain, gross/microscopic hematuria w/o UTI, recurrent UTI, new neurologic symptoms, suspected urinary fistula หรือ urethral diverticulum, chronic catheterization, difficulty passing a urinary catheter, pelvic organ prolapse, Hx of pelvic reconstructive surgery หรือ pelvic irradiation, หรือ persistently elevated postvoid residual
        • Conservative treatmentอย่างน้อย6 สัปดาห์ ก่อนพิจารณาให้การรักษาอื่น ได้แก่
          • Lifestyle modification: ลดน้ำหนัก(มักได้ประโยชน์ใน stress incontinence), ลดการดื่มแอลกอฮอล์/คาเฟอีน/น้ำอัดลม, จำกัดน้ำดื่ม < 1.8 ลิตร/วัน, ดื่มน้ำทีละน้อยแทนการดื่มทีละเยอะๆ, ในรายที่มี nocturia ให้งดน้ำหลายชั่วโมงก่อนนอน, แก้ไขอาการท้องผูก, หยุดบุหรี่
          • Pelvic floor muscle (Kegel) exercise: หลังจากฝึกแล้วใน stress incontinence ให้เกร็งกล้ามเนื้อก่อนที่จะหัวเราะไอจาม ส่วน urgency incontinence เมื่อปวดปัสสาวะให้นั่งหรือยืนนิ่งๆแล้วเกร็งกล้ามเนื้อ เมื่ออาการปวดจนทนไม่ไหวลดลงจึงค่อยไปห้องน้ำ
        Pelvic floor muscle (Kegel) exercise
        1. เรียนรู้การฝึกกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง โดยให้จินตนาการว่านั่งทับอยู่บนลูกแก้ว แล้วเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเพื่อยกลูกแก้วขึ้น ขณะฝึกไม่ควรฝึกหยุดปัสสาวะ
        2. ให้เกร็งกล้ามเนื้อไว้ 8-10 วินาที แล้วผ่อนคลาย ทำซ้ำ 8-12 ครั้ง ทำวันละ 3 รอบทุกวัน ทำต่อเนื่องอย่างน้อย 15-20 สัปดาห์
        3. ค่อยๆฝึกให้เกร็งกล้ามเนื้อแรงขึ้นและนานขึ้น
        **ในบางรายที่ทำไม่ถูกต้องให้พิจารณาตัวช่วยอื่น เช่น pelvic floor physical therapist, vaginal weighted cone, biofeedback
          • Bladder training (เฉพาะใน urgency incontinence) ให้เริ่มจากจดบันทึกการปัสสาวะ หาระยะเวลาที่ต้องไปปัสสาวะที่สั้นที่สุด แล้วให้ไปปัสสาวะเป็นระยะห่างเท่าๆกันตามระยะเวลาที่สั้นที่สุด ถ้าปวดปัสสาวะขึ้นมาก่อนถึงเวลาให้ผ่อนคลาย (เช่นหายใจลึกๆ พยายามไปสนใจสิ่งอื่น)ร่วมกับการเกร็งกล้ามเชิงกรานถี่ๆ เมื่อไม่มีปัสสาวะเล็ด 1 วัน ให้เพิ่มระยะห่างอีก 15 นาที จนปัสสาวะแต่ละครั้งห่างกันให้ได้ 3-4 ชั่วโมง
          • Topical vaginal estrogen: ใน peri- หรือ postmenopausal woman ที่มี vaginal atrophy ได้แก่ topical estrogen cream 0.5 mg twice weekly, estradiol tablet 10 mcg twice weekly, หรือ estradiol ring7.5 mcg ทุก 3 เดือน
        • Stress incontinence Tx: หลังจากที่ conservative Tx ยังไม่เพียงพอ ได้แก่
          • Continence pessaries
          • Duloxetine (SSRI) เฉพาะในรายที่ต้องรักษา depression แนะนำให้เลือกยาตัวนี้
          • Surgery เช่น midurethral sling
        • Urgency incontinence Tx: บางรายอาจให้ยารักษาไปพร้อมกับการทำ conservative Tx ตั้งแต่แรกก็ได้
          • Antimuscarinic (darifenacin, fesoterodine, oxybutynin, solifenacin, tolterodine, trospium, propiverine)
          • Beta-adrenergic (mirabegron) ในรายที่ต้องการหลีกเลี่ยงหรือใช้ร่วมกับ antimuscarinic
          • อื่นๆ เช่น acupuncture, botulinum toxin, percutaneous tibial nerve stimulation,sacral neuromodulation, surgery
        • Mixed incontinence Tx: ให้รักษาไปตามอาการที่เด่นกว่าก่อน (stress หรือ urgency)
        • Overflow incontinence Tx: ให้รักษาไปตามสาเหตุ
          • Bladder outlet obstruction จากcystocele, uterine prolapse อาจใช้ pessary หรือทำ surgery
          • Detrusor underactivity เช่น หยุดยาที่เป็นสาเหตุ,รักษา constipation, sacral nerve stimulation, clean intermittent catheterization
          • Chronic urinary retention เช่น clean intermittent catheterization, suprapubic catheterization, urinary diversion


        Ref: Up-To-Date

        Hand osteoarthritis

        $
        0
        0

        Hand osteoarthritis
        • ลักษณะทั่วไปของ OA คือ จะมีอาการข้อเดียวหรือ 2-3 ข้อเท่านั้น (ที่พบบ่อย คือ knees, hips, IP joints, 1st CMC, 1st MTP, facet joints ของ lower cervical และ lower lumbar spine) มีอาการปวดข้อสัมพันธ์กับการใช้งาน ดีขึ้นเมื่อพัก มักปวดช่วงบ่าย-เย็น ถ้ามีอาการปวดแสบร้อนรอบข้อร่วมกับอาการชาให้สงสัย fibromyalgia ร่วมด้วย เมื่อตรวจจะมี joint-line tenderness, bony swelling, limited active/passive ROM
          • Generalized OA เป็น subset ของ OA มักเริ่มจาก hand ในวัยกลางคน แล้วมาที่ knees และ joints อื่นๆตามมาในอีกหลายสิบปี ลักษณะเด่นคือจะมี multiple Heberden’s nodes (nodal generalized OA) แต่อาจไม่มี node ก็ได้ (non-nodal generalized OA มักพบในผู้ชาย)
        • Hand OAมักจะเป็นคล้ายกันทั้งสองข้าง มีอาการครั้งละไม่กี่ข้อ ข้อที่พบบ่อย ได้แก่ DIP, thumb base, PIP, 2ndและ 3rdMCP joints ตามลำดับ
        Michelle M, et al, Nature Reviews Rheumatology volume 14, pages 641–656 (2018)
        • NodalOA
          • IP joint (index, middle finger) มักเริ่มเป็นช่วงวัยกลางคน ช่วงหมดประจำเดือน มีอาการปวด บวม ร้อน เป็นๆหายๆ 2-3 ปี แล้วการอักเสบจะลดลง เหลือเป็นกระดูกแข็งบวมขึ้นด้าน posterolateral ของ DIP (Heberden’s node) หรือ PIP joint (Bouchard’s node) ต่อมาจะมีข้ออื่นเป็นเช่นเดิมอีกเป็นแบบ mono-arthritis multiplex นอกจากนี้ยังพบว่า ROM ลดลงและมี lateral deviation
          • Thumb-base OA (1st carpometacarpal, scaphotrapeziotrapezoid joint) มักพบในอายุที่มากกว่าหลังหมดประจำเดือน มักจะมีอาการปวดตลอด และรบกวนการใช้งาน อาจมี radial subluxation และ adduction ของ thumb base ทำให้บวมเป็นแบบ “square” appearance  
        • Erosive OAพบน้อยกว่า แต่รุนแรงกว่า เป็นเฉพาะ IP joint (DIP > PIP) มีอาการข้อปวด บวม ติดแบบค่อยเป็นค่อยไป มีอาการอักเสบมากกว่าและเป็นนานกว่า
        • Dx: peripheral OA สามารถวินิจฉัยจากอาการทางคลินิกได้ ถ้าประกอบด้วย
          • ปวดข้อสัมพันธ์กับการใช้งาน ปวดข้อเดียวหรือ 2-3 ข้อ
          • อายุ >45 ปี
          • ฝืดตอนเช้า <30 นาที
        • Ix: imaging ในรายที่การวินิจฉัยไม่ชัดเจน ทำ film จะพบ marginal osteophytes, joint space narrowing, subchondral sclerosis, และ cysts ได้; synovial fluid จะพบ WBC < 2000, predominantly mononuclear cells แต่อาจพบลักษณะ inflammatory effusion ได้ถ้ามี calcium pyrophosphate crystals ร่วมด้วย
          • OA with CPPD พบได้ถึง 30-60% ส่วนใหญ่ในคนอายุ > 60 ปี มักเป็นที่ knees, radiocarpal joints, 2nd-3rd MCP joints, shoulder, elbow joints อาการอาจจะเปลี่ยนไปจาก OA ปกติ โดยเฉพาะมีmorning stiffness นานกว่า มี synovitis มากกว่า อาจมีอาการปวดรุนแรงเฉียบพลันใน 6-24 ชั่วโมง เป็นนาน 2-3 วันถึง 1-2 สัปดาห์
        • Initial Tx:
          • Splints เพื่อลดอาการปวด โดยเฉพาะ thumb-base OA ซึ่งอาจใส่ตลอดเวลาหรือใส่เฉพาะเวลาปวด นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ใช้ได้ง่าย เช่น ช้อน ส้อม ปากกา หรือที่เปิดขวดสำหรับ hand arthritis

        ช้อนส้อมหุ้มโฟมเพื่อให้จับได้ง่าย; ภาพจาก elderstore.com
          • Topical NSAIDs ได้ประสิทธิภาพเช่นเดียวกับ oral NSAIDs แต่ไม่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
          • Exercise ประกอบด้วยการทำ ROM และ strengthening exercise ดู linkการทำ exercise
        • Txขั้นต่อมาถ้ายังไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น
          • Oral NSAIDs ใช้ในขนาดน้อยที่สุดที่ได้ผล และใช้ระยะสั้นๆ
          • Acetaminophenเนื่องจากมีประสิทธิภาพต่ำ จึงให้ใช้ในรายที่ให้ NSAIDs ไม่ได้
          • Surgeryใช้ในรายที่มีอาการรุนแรง มี structural abnormality และไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นเพียงพอ ส่วนใหญ่มักทำใน thumb-base OA ได้แก่การทำ arthroplasty หรือ arthrodesis


        Ref: Up-To-Date
        Viewing all 563 articles
        Browse latest View live


        <script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>