Vital signs measurement
สัญญาณชีพที่วัดในห้องฉุกเฉิน ได้แก่ Respiratory rate (RR), Pulse rate (HR), Blood pressure (BP), Temperature (T), +/- Pain แต่ในผู้ป่วยที่มาด้วยปัญหาเล็กน้อย เช่น มาตัดไหม เป็นต้น การวัดสัญญาณชีพทุกชนิดอาจไม่มีความจำเป็น ซึ่งควรดูเป็นรายๆไป
สัญญาณชีพอาจจะบอกความรุนแรงของโรคได้ แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเจ็บปวด ความกลัว ความวิตกกังวล ความตื่นเต้น เป็นต้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าสัญญาณชีพที่วัดได้ในครั้งแรกคือ การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพว่าดีขึ้นหรือแย่ลงหลังให้การรักษา ซึ่งความถี่ในการวัดสัญญาณชีพขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วยและอาการทางคลินิก
Pregnancy physiology: RR จะไม่เปลี่ยนแปลง (แต่ TV เพิ่มขึ้น RV ลดลง), PR เพิ่ม 10-15%, SBP จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อนั่งหรือยืน แต่ DBP จะลดลงจนถึง 28 สัปดาห์, ถ้านอนตะแคงจะลดทั้ง SBP และ DBP จนถึง 28 สัปดาห์
Respiration
ข้อห้าม
- ไม่ควรเสียเวลานับ RRในผู้ป่วยที่ต้องการ immediate therapeutic intervention เช่น respiratory distress, apnoea, หรือ upper airway obstruction
- นับอัตราการหายใจ 1 นาทีโดยไม่ให้ผู้ป่วยรู้ตัว(หรือใช้ electronic monitor) ส่วนในเด็กทารกอาจจะคลำการเคลื่อนไหวของหน้าท้องหรือหน้าอก และดูรูปแบบในการหายใจ
อัตราการหายใจ (RR)
- RR ปกติในผู้ใหญ่ (ห้องฉุกเฉิน) คือ 16-24 ครั้ง/นาทีแต่ต้องระวังความถูกต้องของข้อมูลเพราะจากการศึกษาพบว่ามีความคลาดเคลื่อนในการนับประมาณ 5-6 ครั้ง/นาที
- RR ปกติในเด็กมีค่าแตกต่างไปตามอายุ ตอนอายุน้อยค่าปกติจะกว้างกว่า เช่น ในทารกแรกเกิด คือ 34-68 ครั้ง/นาที แล้วค่อยๆลดลง ใน 3 ขวบ คือ 18-30 ครั้ง/นาที
- Resting RR ที่สัมพันธ์กับ pneumonia(sent 74% spec 77%) คือ < 6 เดือน RR > 59; 6-11 เดือน RR > 52; 1-2 ปี RR > 42ครั้ง/นาที (จำว่า 40-50-60)
- การหายใจลำบาก เช่น การหายใจออกเสียงดัง (grunting)เกิดจากการพยายามสร้าง PEEP โดยการปิด glottis บางส่วนขณะหายใจออก; หายใจมี retraction, prolonged expiration หรือ diaphragmatic breathing
- Kussmaul respiration/Hyperpneaคือ การหายใจลึกอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีอัตราเร็วขึ้นหรือปกติก็ได้ (ในระยะแรกจะหายใจเร็วตื้นมาก่อน) เกิดได้จาก severe metabolic acidosis
- Cheyne-Strokes respirationคือ การหายใจที่ค่อยๆเปลี่ยนความตื้น-ลึกสลับกันรอบละ 30 วินาที-2 นาที สาเหตุ เช่น brain lesion ใน forebrain, CO poisoning, metabolic encephalopathy, opiate effect, altitude sickness
- Apneustic respirationคือ การหายใจที่มีช่วงกลั้นตอนสิ้นสุดการหายใจเข้า สาเหตุจาก brain lesion ในpons
- Biots (Cluster) respirationคือ การหายใจเร็วสลับกับช่วงหยุดหายใจ สาเหตุ เช่น brain lesion ใน medulla หรือ lower pons, opiate effect
- Ataxic respirationคือ รูปแบบการหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ มีการหยุดการหายใจเป็นพักๆ เกิดได้จาก brain lesion ในmedulla
- ทารก อาจมีการหยุดหายใจเป็นพักๆ (periodic breathing) ต้องแยกจาก apnea คือapnea จะมีการหยุดหายใจ> 20 วินาที และอาจจะมี bradycardia หรือ hypoxia ร่วมด้วย
Pulse
ข้อห้าม
- ไม่มีข้อห้าม แต่หลีกเลี่ยงการคลำ carotid artery พร้อมกัน 2 ข้าง และไม่คลำcarotid artery สูงกว่าระดับ thyroid cartilageเพราะ carotid sinus massage จะทำให้เกิด reflex bradycardia; ในคนที่มี atherosclerosis อาจฟังเพื่อหา carotid bruit ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการคลำอย่างรุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิด stroke ได้
- ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลาง (เพราะ sensation ดีและการใช้นิ้วโป้งอาจรู้สึกถึงชีพจรของตนเอง)คลำ 15 วินาทีแล้วคูณด้วย 4 ยกเว้นถ้าชีพจรไม่สม่ำเสมอให้คลำ 1 นาที ซึ่งตำแหน่งที่สะดวกที่สุด คือ radial pulse ตำแหน่งอื่นๆ เช่น carotid, brachial, femoral, posterior tibial, dorsalis pedis arteries
- ทารกแรกเกิดใช้การฟัง heart sound หรือคลำที่ umbilical pulse
- เด็กทารกใช้การฟัง heart sound บริเวณ apex จะมีความถูกต้องมากกว่าการคลำชีพจร แต่ถ้าคลำชีพจรตำแหน่งที่ดีที่สุด คือ femoral artery
- เด็กที่อาการไม่คงที่ให้คลำ central pulse ได้แก่ femoral และ brachial pulse
- การตรวจชีพจรดูทั้งอัตราเร็วและความสม่ำเสมอ ซึ่ง peripheral pulseเกิดจาก pressure wave (ไม่ใช่ blood flow) และความแรงของชีพจรไม่สามารถทำนายความดันโลหิตได้ถูกต้องเสมอไป
- มีความสัมพันธ์ระหว่างการคลำ radial และ femoral pulse ไม่ได้กับภาวะ hypotension ใน hypovolemic trauma
- ผู้ใหญ่ค่าปกติ คือ 45-95 ครั้ง/นาทียกเว้นบางกลุ่ม เช่น นักกีฬาอาจมี resting HR 30-40 ครั้ง/นาที
- เด็กจะขึ้นกับอายุ เช่น 1-6 ปี ประมาณ 80-100 ครั้ง/นาที; < 1 ปี ประมาณ 100-150ครั้ง/นาที
- Sinus dysrhythmia คือ การที่ pulse เร็วขึ้นเมื่อหายใจเข้าและช้าลงเมื่อหายใจออก
- การแปลผลให้ดูร่วมกับสัญญาณชีพอื่นๆในการพิจารณาว่าเป็น primary (bradyarrhythmia, tachyarrhythmia) หรือ secondary (physiologic, pathologic, pharmacologic) ยกตัวอย่างเช่น
- Physiologicที่ทำให้เกิด bradycardia เช่น นักกีฬา, ขณะหลับ, vagal stimulation;ที่ทำให้เกิดtachycardia เช่น เด็ก, ออกกำลัง, วิตกกังวล, อารมณ์
- Pharmacologicที่ทำให้เกิด bradycardia เช่น digoxin, opioid, β-blocker, CCB; ที่ทำให้เกิด tachycardia เช่น atropine, epinephrine, sympathomimetic, alcohol, nicotine, caffeine
- Pathologicที่ทำให้เกิด bradycardia เช่น hypothermia, inferior wall MI, IICP, carotid sinus hypersensitivity, hypothyroidism; ที่ทำให้เกิด tachycardia เช่น fever, hypoxia, anemia, hypovolemia, PE
- ถ้าชีพจรไม่สม่ำเสมอทำให้สงสัย atrial fibrillation หรือ flutterwith variable blockให้ฟัง apical heart sound ซึ่ง apical pulse มักจะมากกว่า peripheral pulse เพราะบาง beat จะมีfilling time น้อย ทำให้ stroke volume ไม่เพียงพอในการเกิดชีพจร
- อาจจะช่วยบอกข้อมูลบางอย่างได้ เช่น ในภาวะ sepsis ในช่วงแรกที่ cardiac output เพิ่มและ vascular resistance ลดลงจะคลำได้ bounding pulse ซึ่งตรงข้ามกับ advance sepsis จะคลำได้เบา
- pulse amplitude เพิ่มขึ้น พบได้ในคนที่มี arterial stiffness(คนสูงอายุ)เพราะมี pulse wave velocity เพิ่มขึ้น; weak pulse เกิดจากภาวะ hypotension หรือ local limb ischemia
Arterial blood pressure
- มีการวัดด้วย indirect BP monitoring และ intra-arterial technique; แต่ในทารกและเด็กแรกเกิดบางครั้งใช้การตรวจ capillary refill มาแทนที่การวัด BP ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนได้มาก
- ใน low-flow states ที่ไม่สามารถวัด BP ด้วยวิธีปกติได้ อาจใช้ Doppler มาช่วยในการการวัด BP หรือใส่ A-line โดยเฉพาะในบางสถานการณ์เช่น PEA อาจจะช่วยแยกภาวะ severe shock ออกจากภาวะอื่นๆได้
- ในปัจจุบันมีเครื่องมือ continuous BP measurement (CBPM) เช่น infrared photoplethysmography
- ไม่ควรวัดในแขนข้างที่มี AV fistula, ipsilateral mastectomy, axillary lymphadenopathy, lymphedema, หรือ circumferential burns ในบริเวณที่จะพัน cuff BP
- Indirect BP measurement ประกอบไปด้วย sphygmomanometer (bladder, bulb, manometer) และ stethoscope, Doppler, หรือ oscillometric device; ในบางสถานการณ์ที่เร่งด่วนหรือมีเสียงดัง เช่น prehospital อาจใช้การคลำ systolic pressure (the first Korotkoff sound) แทน
- เลือกขนาด cuff ที่เหมาะสมโดยส่วน bladder ต้องคลุมรอบแขนได้ 80% และ manometer ต้องได้รับการดูแลอยู่เสมอ ชนิดที่ใช้บ่อย ได้แก่ aneroid (ต้อง calibrate กับ mercury column อย่างน้อยปีละครั้ง), digital,และmercury gravity column (ต้องวางแนวตั้งเวลาวัด ตรวจดูระดับ mercury และ air filter)
- ให้ส่วน bladder cuff อยู่ในระดับ right atrium ในขณะที่แขนถูกประคองไว้
- Riva-Rocci palpatory techniqueคือ คลำ arterial pulse และให้ inflate cuff ให้สูงกว่าระดับที่คลำ pulse ไม่ได้ 30 mmHg แล้ว deflate 2-3 mmHg ต่อวินาที ซึ่งการคลำจะได้ SBP ต่ำกว่าความจริงเฉลี่ย 6 mmHg; ในเด็กทารกแนะนำให้ใช้ Doppler method แทน
- Auscultating BP ให้พัน BP cuff เหนือต่อ antecubital fossa 2.5 ซม.ให้กลาง bladder cuff อยู่ตรง artery และใช้ bell diaphragm วางที่ brachial artery ด้วยแรงกดน้อยที่สุด เมื่อค่อยๆ deflate เสียงแรกที่ได้ยินคือ Koratkoff phase I หรือ SBP และเมื่อเสียงหายไปคือ Korotkoff phase V หรือ DBP; ส่วนในเด็กใช้ Korotkoff phase IV (เสียงจะนุ่มลงจาก phase III) เป็น DBP
- Novel noninvasive continuous finger cuff technology พบว่ามีความน่าเชื่อถือ แม้ในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก
- Optimum BP ในผู้ใหญ่ (ทำให้เกิด morbidity น้อยที่สุด)คือ 115/75 mmHg ซึ่ง BP ปกติตามเกณฑ์ของ AHA คือ SBP < 120 mmHg และ BP < 80 mmHg; และถือว่า hypotensive ถ้า SBP < 90 mmHg
- SBP ที่ 50th percentileของเด็ก 1-10 ปี คือ 90 + (อายุ x 2) mmHg
- SBP ที่ 5th percentile ของเด็ก คือ 70 + (อายุ x 2) mmHg; > 10 ปี คือ 90 mmHg และ< 1 เดือน คือ 60 mmHg
- Hypotensionในผู้ใหญ่ คือ SBP < 90 mmHg; ใน trauma แบ่งตามอายุ ได้แก่ 65 ปี < 117 mmHg; 36-64 ปี < 96 mmHg, 18-35 ปี < 85 mmHg
- Hypertensionคือ SBP > 130 หรือ DBP > 80 แต่ไม่ควรวินิจฉัยหรือรักษาโดยดูจาก BP ที่วัดได้ผิดปกติในครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งต้องการการวัดซ้ำๆและนัดดูอาการต่อเนื่อง และระวังภาวะ white coat hypertension ซึ่งพบได้ > 20%
- Measurement errors
- การวัดได้ต่ำกว่าความเป็นจริง เกิดจาก cuff ใหญ่, กด stethoscope แรงเกินไป, deflate cuff เร็วเกินไป
- การวัดได้สูงกว่าความเป็นจริง เกิดจาก cuff แคบเกินไป, ปวด, วิตกกังวล, การออกแรง, ไม่ได้ประคองแขน, inflate cuff ช้า
- Korotkoff sound จะไม่น่าเชื่อถือใน hypotension แนะนำให้ใช้ Doppler; ส่วนใน hypertensive อาจจะมี auscultatory gap คือจะมีช่วงที่เสียงเงียบไปในช่วงท้ายของ phase I อาจทำให้วัดได้ DBP สูงกว่าความเป็นจริงและ SBP ต่ำกว่าความเป็นจริงได้
- Aortic insufficiency, hyperthyroidism, เด็ก < 5 ปี, หรือหลังออกกำลังกาย การวัด DBP ให้ใช้ Korotkoff phase IV
- Hemiplegic ถ้าวัดข้าง flaccid จะได้ SBP และ DBP ต่ำกว่า และถ้าวัดฝั่ง spastic จะวัดได้สูงกว่า แต่ค่ามักต่างกันไม่มาก แนะนำให้วัดข้างที่ปกติ
- LV assist device (LVAD) ชนิด nonpulsatile จะคลำ pulse ไม่ได้ แต่วัด SBP ได้ ส่วน DBP, PP, และMAP จะขึ้นกับ pump speed
- Pulse pressureเพิ่มขึ้น(> 60 mmHg) ใน anemia, exercise, hyperthyroidism, AV fistula, aortic regurgitation, IICP, patent ductus arteriorsus (**สูตรท่อง คือ Athero heart block thyrox regur HT สำคัญ anemia อ่อนเพลีย Beri Beri 4P [pyrexia, pregnancy, PDA, Paget’s disease] ทีเด็ด เบ็ดเสร็จ aneurysm อย่าลืม AV fistula ]; และลดลง (<20 mmHg) ใน hypovolemia, peripheral vascular resistance เพิ่มขึ้น เช่น early septic shock, stroke volume ลดลง
- Differential brachial artery pressureในคนปกติจะมี BP ของแขนทั้งสองข้างต่างกันได้ 10-20 mmHgโดยจะเอา BP ของแขนข้างที่สูงกว่า; ถ้าต่างกันมากเกิดได้จาก focal atherosclerosis, coarctation of the aorta (proximal ต่อ Left subclavian artery), type A aortic dissection, aortic arch syndrome เป็นต้น
- Pulsus paradoxusคือ การที่ SBP ลดลง > 12 mmHg ในช่วงหายใจเข้า (ปกติจะลดประมาณ 10 mmHg) พบได้ใน COPD, pneumothorax, severe asthma, pericardial tamponade (ใน advance tamponade จะไม่มี เพราะ PP แคบ); วัดโดยให้นอนหงายยกศีรษะสูง 30-45o หายใจปกติ ให้ inflate cuff เหนือ systolic pressure แล้วค่อยๆ deflate ช่วงแรกจะได้ยินเสียง systolic sound เฉพาะช่วง expiration แล้วค่อยๆลดจนได้ยินทั้งช่วง inspiration และ expiration หรือจะดูจาก pulse oximetry wave แทนก็ได้
- Shock indexคือ สัดส่วนของ PR เทียบกับ SBP ค่าปกติคือ 0.5-0.7 ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ Left ventricular stroke work index
Doppler US ในการประเมิน pulse และ BP
ข้อบ่งชี้
- ใช้วัด BP ใน low-flow stateที่วัด SBP ต่ำได้ถึง 30 mmHg
- ประเมิน lower extremity peripheral perfusion โดยการวัด ankle-brachial index
- ประเมิน fetal heart sound ใน GA > 12 สัปดาห์
- Probe frequency 2-5 MHz เหมาะสำหรับการตรวจ fetal heart sounds, และ frequency 5-10 MHz เหมาะในการตรวจ artery และ vein
- ใส่ acoustic gel ระหว่าง Doppler probe และผิวหนัง (ถ้าไม่มีอาจใช้ water-soluble lubricant เช่น K-Y jelly แทนได้) และวาง probe ทำมุม 45oตามยาวของ blood vessel
- Peripheral perfusion ให้พัน sphygmomanometer cuff ตำแหน่ง proximal ต่อ arterial pulse และ inflate และวาง probe เหนือต่อ arterial pulse แล้ว deflate ช้าๆจนได้ยินเสียง flow คือ SBP
- Ankle-brachial index ให้วัด SBP ด้วย Doppler ที่ brachial arteryของแขนทั้ง 2 ข้าง และวัดที่ posterior tibial และ dorsalis pedis artery ของขาทั้ง 2 ข้าง
- Segmental lower extremity pressure วัด SBP ที่ upper thigh, lower thigh, upper calf, ankle
- Fetal heart tones ให้วัดในหลายๆตำแหน่งของ uterus แนะนำให้เริ่มที่ mid-suprapubic area แล้วเอียง probe ไปมา เมื่อได้ตำแหน่งของ tone จึงเลื่อน probe ไปตามหน้าท้องไปให้ใกล้ตำแหน่งของเสียงมากที่สุด โดยต้องแยกเสียงจาก placental flow ซึ่งจะตรงกับ maternal pulse
- ABI ให้นำSBP ของ posterior tibial หรือ dorsalis pedis arteryข้างที่สูงกว่าหารด้วย SBP ของ brachial arteryข้างที่สูงกว่า ค่าปกติจะ > 1.0; คนที่มี claudication จะวัดได้ 0.6-0.8; ถ้ามี rest pain หรือ gangrene จะ < 0.5
- ABI < 0.9 ใน penetrating extremity injury แสดงว่ามี vascular injury
- Segmental lower extremity pressure อาจจะสามารถบอกตำแหน่งที่ obstruction ได้ โดยปกติแต่ละตำแหน่งที่ต่อกันจะมี segmental gradient < 30 mmHg และ upper thigh จะมากกว่า brachial pressure อย่างน้อย 40 mmHg
- Fetal heart tone ปกติ 120-140 ครั้ง/นาที
Orthostatic V/S
ข้อบ่งชี้
- พิจารณาใช้ประกอบในการประเมินในคนที่สงสัย blood volume loss หรือมีประวัติ syncope
- อาจใช้ประเมินการตอบสนองของผู้ป่วยต่อ postural change หลังได้รับยาบางตัว ในขณะที่ volume status ปกติ
- ใช้ประกอบในการประเมินการตอบสนองต่อการรักษา
- มี supine hypotension, หรือ clinical syndrome ของshock
- มี severely altered mental status
- Possible spinal cord injury, lower extremities หรือ pelvic fracture
- ใช้ยาที่ยับยั้ง vasomotor และ chronotropic response
- วัด BP ในท่านอน 2-3 นาที โดยไม่มีการรบกวนผู้ป่วย และวัด BP ในท่ายืน 1 นาที หรือถ้ามีอาการก่อนให้ผู้ป่วยนอนลง และวัด BP ซ้ำหลังจากยืน 3 นาที
- ในคนปกติเมื่อยืนจะมี compensatory reflex ทำให้ PR เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13 ครั้ง/นาที ส่วน SBP อาจลดเล็กน้อย DBP อาจเพิ่มเล็กน้อย
- นิยาม orthostatic hypotension คือมีการลดลงของ SBP > 20 mmHg และ DBP > 10 mmHg ภายใน 3 นาทีหลังจากยืน แต่เป็นนิยามที่ได้จากการศึกษาใน passive tilt table และผลการศึกษาใน ER มีความหลากหลาย จึงอาจไม่สามารถดัดแปลงมาใช้ได้เต็มที่
- ในรายที่สงสัย blood loss ถ้าวัด orthostatic V/S แล้วมีอาการหรือ PR เพิ่มขึ้น 30 ครั้ง/นาที แสดงว่ามีโอกาสสูงที่จะมี blood loss จริง (2% false positive) ส่วนในรายที่ negative test บอกได้ว่าไม่น่าที่จะมี acute blood loss > 1000 mL (2% false negative)
Capillary refill time (CRT)
ข้อบ่งชี้
- ใช้ประเมิน perfusion และ dehydration ร่วมกับอาการแสดงอื่นๆ แต่ไม่เหมาะสมในการนำมาใช้แทนการวัด BP ในเด็ก
- ไม่ควรประเมินใน dependent extremity, recent burned หรือ injured extremities, หรือตำแหน่งที่มี infection หรือ acute injury
- ตำแหน่งที่แนะนำคือ nail bed, thenar surface ของฝ่ามือ, และที่ส้นเท้า โดยที่ตำแหน่งที่วัดควรอยู่ระดับเดียวกับ right atriumกดด้วยแรงที่น้อยที่สุดจนซีดจางและปล่อยพร้อมกับจับเวลาจนสีกลับมาแดงเหมือนเดิม
- CRT เฉลี่ยในเด็ก 2-24 เดือน คือ 0.8 +/- 0.3 วินาที;ในเด็ก CRT ปกติ คือ <2 วินาที
- CRT > 2 วินาทีในเด็ก < 5 ปี ร่วมกับ อาการอื่นๆ (dry mucosa, no tear, ill appearance) สามารถบอกได้ว่ามี dehydration > 5% BWนอกจากนี้ยังใช้ CRT ในการประเมินการตอบสนองต่อการให้ fluid resuscitation ในเด็กได้
- CRT > 4.5 วินาที ในผู้ใหญ่ ร่วมกับอาการมือเท้าเย็น ขณะที่ hemodynamic stabilizedสามารถบอกได้ว่ายังมี high lactate level และมี severe organ dysfunction แต่พบว่ามี sensitivity และ specificity ต่ำกว่าการวัด orthostatic V/S ในการประเมิน blood loss
Temperature
ข้อบ่งชี้
- วัด core temperature ในโรคที่การรักษาจะขึ้นอยู่กับระดับอุณหภูมิ เช่น profound hypothermia, frostbite, hyperthermia เป็นต้น นอกจากนี้จึงมักจะวัดอุณหภูมิจาก peripheral site
- ห้ามวัด oral temperature ในคนที่ไม่ร่วมมือ(เช่น เด็ก < 5 ปี หรือ intubation), hemodynamic instability, septic, หรือมี respiratory distress (RR > 20); และหลังจากดื่มน้ำร้อนหรือเย็น 5-30 นาทีอาจทำให้ผลที่วัดผิดได้
- ห้ามวัด rectal temperature ในผู้ป่วย neutropenia, recent rectal surgery
- Core body temperature ได้แก่ distal third ของ esophagus, tympanic membrane (direct thermistor สัมผัสกับ anterior inferior quadrant ของ TM), pulmonary artery, rectal อย่างน้อย 8 ซม.จาก anus, bladder
- Peripheral sites สามารถวัดได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว แต่มี sensitivity และ specificity น้อยกว่าการวัด core temperature ที่นิยมได้แก่ วัด IR radiation จาก TM, skin thermometer, oral thermometer, temporal artery scanning (มี sensitivity สูงกว่า TM thermistorในทารก)
- Oral temperature ให้ใส่ probe ใน right หรือ left posterior sublingual pocket และปิดปาก
- Rectal temperature ใส่ในท่า lateral decubitus และใส่ probe ลึก 3-5 ซม.
- ในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเร็ว แนะนำให้วัด oral หรือ IR TM temperature เป็นระยะๆจะเชื่อถือได้มากกว่า rectal temperature เพราะอุณหภูมิจะเปลี่ยนช้ากว่า แต่ถ้าต้อง monitor ตลอดเวลาสามารถใช้เป็น bladder หรือ esophageal probe
- ถ้าใช้ที่วัดแบบ mercury ในหลอดแก้วต้องมีเวลาสัมผัสกับร่างกายให้เพียงพอ คือ oral 7 นาที, rectal 3 นาที, axillary 10 นาที(แต่ปัจจุบันไม่แนะนำให้วัด axillary temperature เพราะเชื่อถือได้น้อย)
- Core site ปกติ คือ 36.4-37.9 oC (37oC +/- 0.6oC); Fever คือ >38oC
- Oral site ปกติ คือ 35.5-37.7 oC; Fever คือ >37.8oC
- Rectal site ปกติ คือ 36.6-37.9oC; Fever คือ >38oC
- Ear site ปกติ คือ 35.7-37.5oC; Fever คือ >37.6oC
- นิยาม fever ใน infant < 30 วัน คือ >38oC, 30-60 วัน >38.1oC, 60-90 วัน >38.2oC
- Hypothermia คือcore temperature < 35oC; Hyperthermia คือ > 41oC
Pain score
วิธีการ
- ให้ผู้ป่วยเป็นคนบอกระดับความเจ็บป่วยด้วยตนเองในการประเมินครั้งแรก และใช้ติดตามหลังให้การรักษา แต่มิได้หมายความว่าจะระบุวิธีการรักษาที่จำเพาะเจาะจงกับระดับความเจ็บปวดต่างๆ
- เครื่องมือที่แนะนำในผู้ใหญ่ คือ visual analog scale (VAS) หรือ numerical rating scale (NRS); และที่แนะนำในเด็กคือ Oucher Pain Scale และ Faces Pain Scale (FPS)
- VAS ประกอบด้วย เส้นความยาว 10 ซม.มีเลข 0 (ไม่เจ็บ) และเลข10 (เจ็บมากที่สุด)อยู่ปลายคนละฝั่ง ซึ่งคะแนนที่เราจะให้ความสนใจ คือ คะแนนที่เปลี่ยนแปลงหลังการรักษา ซึ่งจะถือว่ามีนัยสำคัญคือต้องเปลี่ยนอย่างน้อย 13-30 มม.
Ref: Robert Clinical Procedures