Quantcast
Channel: ER goldbook
Viewing all articles
Browse latest Browse all 563

Neurological examination

$
0
0
Neurological examination

คำถามที่ต้องหาคำตอบก็คือ ผู้ป่วยรายนั้นมีพยาธิสภาพอยู่ที่ใด และพยาธิสภาพนั้นเกิดจากอะไร
เพื่อความสะดวกในการตรวจทางระบบประสาทจึงแบ่งการตรวจออกเป็นกลุ่มๆ 8 กลุ่มดังนี้
  1. Mental status testing
  2. Higher cerebral functions
  3. Cranial nerves
  4. Sensory examination
  5. Motor system
  6. Reflexes
  7. Cerebellar testing
  8. Gait and station

Mental status testing
  • การตรวจสภาพจิตมีความสำคัญ อย่างน้อยในเบื้องต้นก็ทำให้เราได้รู้ว่าประวัติที่ได้มาน่าเชื่อถือหรือไม่ อาจคัดกรองได้จากการสังเกต อาจบรรยายสั้นๆแค่ว่า awake, alert, and conversantหรือลงในรายละเอียด
  • ส่วนประกอบหลักๆของ MSE ได้แก่
    • ลักษณะภายนอก (appearance)พฤติกรรม (behavior)ท่าที (attitude): การแต่งกายเหมาะสม?การเคลื่อนไหวร่างกายขณะพักเหมาะสม? รูปแบบการพูดปกติ?(ความดัง ความเร็ว จังหวะ ปริมาณ ความต่อเนื่อง เนื้อหาการพูด)
    • ความรู้ตัว (sensorium) เชาว์ปัญญา (intelligence): ความรู้ตัวปกติ? สามารถถามอย่างเป็นธรรมชาติเกี่ยวกับวัน เวลาที่มารพ. ชื่อคนในครอบครัว ที่อยู่ หรือถามตรงๆ การรับรู้และสติปัญญาผิดปกติ?
    • การรับสิ่งเร้า (perception): ประสาทหลอน? (คุณเคยมีประสบการณ์แปลก เช่น การเห็นภาพ การได้ยินเสียง ความรู้สึกแปลกหรือไม่)
    • อารมณ์ (mood and affect): อารมณ์ที่เกิดขึ้น? (ใจคอคุณเป็นอย่างไร) อารมณ์ที่เกิดขึ้นเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม?
    • ความคิด (thought): มีเหตุมีผล? ความคิดหลงผิด?(คุณมีความเชื่ออะไรแปลกๆที่คนอื่นเขาไม่เชื่อหรือไม่) มีความคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเองหรือฆ่าผู้อื่น?
    • ความตั้งใจ สมาธิ(attention and concentration): บอกผู้ป่วยว่าจะทดสอบความสามารถในการตั้งสมาธิของเขา โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่จะสามารถพูดตามเลขได้ 6-7 ตัวและพูดกลับได้ 4-5 ตัว
    • ความจำ(memory): ความจำระยะยาว หมายถึง ความจำที่ผ่านไปแล้วหลายๆเดือน ความจำระยะสั้น ให้ถามเหตุการณ์ในวันนั้น หรือ ให้จำของ 3 อย่าง เช่น ต้นไม้ แม่น้ำ รถยนต์ โดยให้พูดทวนก่อน (ถ้าทำไม่ได้แสดงว่า attention ผิดปกติ) แล้วถามซ้ำที่ 5 นาที
    • การรู้จักตนเอง (insight) การตัดสินใจ (judgment): เข้าใจเหตุการณ์แวดล้อมของการมารพ.?
  • โดยทั่วไปถ้าความผิดปกติอยู่ที่ attention หรือ disorientation แสดงว่าสาเหตุน่าจะเกิดจาก medical มากกว่า functional หรือ psychiatric causes


Higher cerebral functions(ดูเพิ่มเติมเรื่อง localization of Neurological lesion)
  • คัดกรองดูว่าสามารถพูดคุยตอบสนองได้ปกติหรือไม่ (language functions), หรือมีอาการ neglect ด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ (ส่วนใหญ่เป็นด้านซ้าย)
  • Dominant hemisphere(90% คือ Left hemisphere dominant) คือ language functions เมื่อผิดปกติจะมีปัญหา  aphasia; ในรายที่สงสัย ให้พิจารณาเป็นขั้นๆคือ 1) พูดได้คล่องหรือไม่ (fluent), 2) ให้ทำตามคำสั่งง่ายๆ (comprehension), 3) ให้พูดตามโดยบอกครั้งเดียว ใครใคร่ขายไข่ไก่หรือ “No ifs, ands, or buts” (repetition), 4)ให้บอกว่าวัตถุนี้คืออะไร (เช่น นาฬิกา ปากกา แก้วน้ำ)ถามถึงส่วนประกอบย่อยๆในวัตถุนั้น (เช่น นาฬิกาชี้ สายนาฬิกา เข็มนาฬิกา) ให้ผู้ป่วยแสดงให้ดูว่าวัตถุนี้ใช้อย่างไร ถ้าทำไม่ได้แสดงว่าอาจเป็น apraxia (เคลื่อนไหวไม่ได้ตามต้องการแม้ว่ากล้ามเนื้อจะไม่อ่อนแรง) จะแยกความผิดปกติออกเป็น
    • Global หรือ mixed aphasiaจะมีความผิดปกติผสมกันทั้ง 2 อย่าง (comprehension, fluent)
    • Motor aphasiaจะพูดช้า ตะกุกตะกัก แต่ทำตามคำสั่งได้ เป็น Broca’s aphasiaหรือ transcortical motor aphasia
    • Receptive aphasiaปริมาณคำพูด ไวยากรณ์ ทำนอง เสียงสูงต่ำ อาจจะถูกต้อง แต่จะพูดไปเรื่อย เนื้อหาที่พูดแปลกประหลาด อาจใช้คำที่เสียงคล้ายกันหรือความหมายคล้ายกัน แต่ความหมายไม่ถูกต้องมาใช้แทน กลุ่มนี้จะทำตามคำสั่งไม่ได้ เป็น Wernicke’s aphasiaหรือ transcortical sensory aphasia
    • Conduction aphasiaกลุ่มนี้จะพูดได้คล่อง และทำตามคำสั่งได้ แต่ไม่สามารถ repetition ได้ มีรอยโรคที่ arcus fasciculus
    • Nominal aphasiaจะปกติทุกอย่าง ยกเว้นเรียกชื่อสิ่งของไม่ได้
  • Non-dominant hemisphereคือ spatial relationships เมื่อผิดปกติจะแสดงปัญหาทาง auditory หรือ visual inattention หรือ sensory inattention ทางด้านซ้าย ทำการทดสอบเช่น ให้วาดรูปวงกลมและใส่ตัวเลขเหมือนในนาฬิกา (จะใส่ตัวเลขแค่ครึ่งเดียว)
  • การทดสอบอื่นๆ (เมื่อ primary sensory ปกติ)เช่น graphesthesia (เขียนเลขบนมือ), stereognosis (จับแล้วบอกชื่อสิ่งของ), double stimultaneous stimulation (ตรวจ pin prick พร้อมกัน 2 ข้าง แล้วอีกข้างไม่รู้สึกหรือรู้สึกทื่อ)
  • ความผิดปกติด้านภาษาจะรวมไปถึง เช่น anomia (เสียการใช้คำที่เหมาะสม จะพูดเยิ่นเย้อ), aphasia(พูดไม่คล่อง ตะกุกตะกัก), alexia (อ่านไม่รู้เรื่อง), agraphia (เขียนไม่ได้); Gerstman’s syndrome (left-right confusion, finger agnosia, acalculia, agraphia)


Cranial nerves
  • คัดกรองเบื้องต้นระหว่างซักประวัติดูว่ามี facial asymmetry (CN VII) หรือไม่ ถ้าการออกเสียงเป็นปกติ แสดงว่า lingual movement (CN XII) น่าจะปกติ
  • การตรวจเรียงตามลำดับ ได้แก่
    • CN I (olfactory nerve):มีโอกาสตรวจน้อย
    • CN II (optic nerve): ตรวจ VA และ pupil reactivity (direct และ consensual light reflex), swinging flashlight test (ผิดปกติ เมื่อเกิด paradoxical dilation ของ pupil เมื่อแสงย้ายมาหา เรียกว่า afferent pupillary defect)
    • CN III (oculomotor n.), IV (trochlear n.), VI (abducens n.): ให้ตรวจ EOM เป็นรูปตัว H
      • CN III palsy (จำว่ารับผิดชอบส่วนที่เหลือของ CN IV, VI รวมถึง levator muscle และ parasympathetic pupilloconstrictors) ทำให้ pupil dilate, ptosis และ globe จะไปทาง downward + outward
      • CN IV palsy (จำว่า SO4 หรือ superior oblique muscle ของ CN 4) หน้าที่หลักคือ intorsion:ซึ่งอาจบอกความผิดปกติได้ยาก
      • CN VI palsy (จำว่า แอบดู (abducens) ต้องใช้ lateral rectus muscle) อาจมี medial deviated และเสีย lateral movement
  

    • CN V (trigeminal nerve): motor คือ muscle of mastication ให้กัดฟันแล้วจะคลำได้กล้ามเนื้อที่นูนขึ้น; sensory รับความรู้สึกจาก cornea ให้ตรวจ corneal reflex (จาก CN V ไป VII)
    • CN VII (facial nerve): motor คือ facial muscle; sensory คือ facial proprioceptive
    • CN VIII (auditory nerve): มี auditory และ vestibular afferent components
    • CN IX (glossopharyngeal nerve), CN X (vagus nerve): ดู pharyngeal musculature และ gag reflex
    • CN XI (accessory nerve): ให้ยักไหล่
    • CN XII (hypoglossal nerve): ให้แลบลิ้น
  • Peripheral lesions ของ CN VII จะเป็น complete facial paralysis ในด้านเดียวกับlesion; ส่วน cortical lesion (เช่น stroke) จะมี weakness เฉพาะ lower และ midface ด้านตรงข้ามกับ injury (“central VIIth pattern”) เพราะ forehead เลี้ยงโดย cortical UMN ทั้ง 2 ข้าง
  • Physiologic anisocoria (pupil asymmetry 1-2 mm) พบได้ในคน 20%
  • Unilaterally dilated pupilสามารถเกิดได้จาก CN III dysfunction หรือจาก uncal herniation ทำให้เกิด nerve impingement ตรงบริเวณ tentorium
  • Vertigoการตรวจเพื่อแยกระหว่าง peripheral vertigo (vestibular system) และ central vertigo (posterior circulation stroke) ประกอบด้วย
    • Horizontal head impulse testหมุนศีรษะอย่างรวดเร็วไปแต่ละด้าน ถ้าตาไม่สามารถ fixation ได้ ตาจะกระตุกไปหา target (saccade) คือ positive (เป็นได้ทั้ง peripheral และ central); ถ้า negative จะสงสัย central vertigo
    • Nystagmusถ้าเป็น vertical หรือเปลี่ยนทิศ nystagmus เมื่อเปลี่ยน gaze direction แสดงว่าเป็น central vertigo
    • Skew deviationเมื่อ fix gaze แล้วปิดตาสลับข้าง ถ้าเห็น vertical skew gaze แสดงว่าเป็น central vertigo   


Sensory examination
  • อาจตรวจ sensory เบื้องต้นโดยการสัมผัส หรือ pinprick ที่แขนขา 2 ข้าง ถ้าผิดปกติ หรือ สงสัย peripheral neuropathy หรือ spinal cord injuryจึงจะตรวจลงในรายละเอียด
    • Position testing จะตรวจหาความผิดปกติของ peripheral neuropathy และ posterior column spinal cord disease ได้ดีที่สุด
  • ถ้าเป็น half-body sensory loss จะสงสัย cortical หรือ subcortical lesions
  • ถ้าเป็นเฉพาะแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง เป็นแบบ specific dermatomeจะสงสัย peripheral nerve หรือ nerve root problems
  • ถ้าผิดปกติเป็น sensory level จะสงสัย spinal cord injury และตรวจ sensation บริเวณ perineum (เมื่อต้องการดูว่าเป็น incomplete spinal cord injury หรือไม่)


Motor system
  • Muscle tone: ให้ผู้ป่วยผ่อนคลายไม่ออกแรงต้าน ทำ passive movement แขนขา; Cogwheeling จะมี resistanceสลับกับ release ระหว่าง movement; ตรวจ axial tone โดยการให้ยืน และคนตรวจยืนทางด้านหลังจับไหล่ให้หมุนมาด้านหน้า-หลัง ในคนปกติจะมีแรงต้านเล็กน้อย แขนอาจจะแกว่ง ส่วนในคนที่ axial tone เพิ่มขึ้น (Parkinson’s disease) จะไม่มี arm swing
  • Motor strength:
    • Upper limb: ให้ยกแขนเหยียดและหงายมือมาทางด้านหน้า สังเกตดูว่ามี pronator drift หรือไม่ (inward rotation, downward drift) ซึ่งสามารถตรวจในคนที่ไม่รู้สึกตัวได้ด้วย (นอนจับแขนยกมาด้านหน้า 2 ข้าง ดู tone ของมือ 2 ข้างเปรียบเทียบกัน); ตรวจ forearm rolling technique ให้เหยียดแขนและให้หมุนเป็นวงกลมเร็วๆ ปกติต้องหมุนเป็นวงเล็กๆและเร็ว ถ้า 2 ข้างไม่เท่ากันหรือช้าแสดงว่ามี limb weakness
    • Lower limb: ขาตรวจคล้ายๆกับแขน หรือ อาจให้ทำ foot tapping เพื่อดูว่ามี weakness จาก UMN หรือไม่
    • การบันทึกให้บรรยายว่ามี stimulus และ response อย่างไร เช่น “the patient is able tostrongly resist elbow extension or elbow flexion against the examiner”
    • การบันทึกด้วย rating scale มีข้อผิดพลาดมากกว่าการบรรยาย ได้แก่ 5 rating = normal strength, 4 = contract muscle against some resistance (rating ข้อนี้จะดูกว้างมักให้เป็น 4+ หรือ 4-), 3 = full motion against gravity, 2 = active movement with no gravity, 1 = minimal contraction, 0 = complete paresis
  • ตรวจ muscle strength ดูว่าเกิดตาม nerve distribution หรือตาม dermatome
  • อื่นๆ:Tremorแบ่งเป็น action tremor (จาก caffeine, hyperthyroidism, alcohol/sedative withdrawal, essential tremor) และ rest tremor (Parkinson’s disease); เปรียบเทียบ muscle mass/bulk; fasciculation แสดงถึง LMN disease
  • Bladder tone, functionในคนที่มี incontinence + LBP ตรวจ residual urine volume ถ้า > 100 mL (ถ้าแน่นอนเอา 200 mL) จะสงสัย spinal cord compression


Reflexes
  • Muscle stretch reflexแบ่ง grade ออกเป็น 0 = absence of reflex, 2-3 = normal, 4 = hyperactive reflex
  • UMN disease จะพบความผิดปกติ คือ มี hyperactive reflex (ใน spinal cord injury หรือ stroke ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวันในการเกิด hyperactive reflex), Babinski response และ clonus
    • Babinski responseตรวจโดยทำ mildly noxious stimulation ที่ lateral plantar หรือ lateral aspect ของ foot ในคนปกติ toe จะเกิด downward movement; Babinski’s sign presence คือ great toe จะเคลื่อนที่ upward และอาจมี fanning ของนิ้วอื่นๆ แสดงถึง UMN lesion
    • Clonusคือมี rhythmic oscillation เมื่อทำ ankle flexionอย่างรวดเร็ว
  • LMN diseaseจะมี hypoactive reflex


Cerebellar testing
  • Cerebellum จะทำหน้าที่ช่วยให้เกิด smooth muscle movement และควบคุมเรื่อง coordination แบ่งเป็น central cerebellum ทำให้เกิด axial coordinationและ lateral cerebellum ทำให้เกิด appendicular coordination (extremities movement)
  • Hand-slapping test ให้ผู้ป่วยหงายและคว่ำมือตบลงบนหน้าตักสลับกันเร็วๆ ซึ่งควรทำได้เร็ว โดยไม่ยกสูง และเหมือนๆกันทั้ง 2 ข้าง
  • เมื่อตามองตามวัตถุที่เคลื่อนที่ช้าๆ (ระหว่างตรวจ EOM) ตาควรที่จะมี smooth slow movement หรือตรวจ finger-to-nose เมื่อผู้ป่วยต้องมองสลับไปมาระหว่างจมูกกับนิ้วของผู้ตรวจ ตาควรที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และสามารถ conjugate ที่เป้าหมายโดยไม่เกิด overshoot
  • Nystagmusดูเรื่อง vertigo ด้านบน


Gait and station



Ref: Tintinalli ed8th

Viewing all articles
Browse latest Browse all 563

Trending Articles



<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>